พาณิชย์เผยส่งออกไทยเดือนกรกฎาคมติดลบ 6.2% หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 หลังเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอแรงกว่าคาด รับโอกาสขยายตัวเป็นบวกในปีนี้เหลือน้อย แต่ยังกัดฟันไม่ปรับเป้า ขณะที่ สรท. มองส่งออกปีนี้มีโอกาสติดลบมากกว่า 1%
กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 มีมูลค่า 22,143.2 ล้านดอลลาร์ (764,444 ล้านบาท) ติดลบ 6.2% นับเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 24,121.0 ล้านดอลลาร์ (842,843 ล้านบาท) หดตัว 11.1% ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนที่ผ่านมาขาดดุล 1,977.8 ล้านดอลลาร์ (78,399 ล้านบาท)
สำหรับภาพรวมการส่งออกไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่า 163,313.5 ล้านดอลลาร์ (5,554,796 ล้านบาท) หดตัว 5.5% การนำเข้ามีมูลค่า 171,598.9 ล้านดอลลาร์ (5,910,357 ล้านบาท) หดตัว 4.7% ส่งผลให้ดุลการค้า 7 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 8,285.3 ล้านดอลลาร์ (355,561 ล้านบาท)
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกไทยในเดือนที่ผ่านมาติดลบคือ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซา จากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การผลิตและการบริโภคยังคงตึงตัว ประกอบกับผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกลดต่ำลงมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เพราะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องชะลอลงอย่างมาก
โดยปัจจัยที่มีน้ำหนักมากคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย และมีความเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนสินค้าหมวดเคมีภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สูง นอกจากนี้ กำลังซื้อในประเทศจีนที่ลดลงยังส่งผลต่อการส่งออกสินค้าหมวดอาหารของไทยอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงทางอาหารของโลก ซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ได้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอาหาร เช่น ข้าว, ผลไม้สด-แช่เย็น-แช่แข็ง-แห้ง และสุกรสด-แช่เย็น-แช่แข็ง ปรับตัวดีขึ้นในภาพรวม
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมของไทยก็เริ่มมีสัญญาณเชิงบวกจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, โซลาร์เซลล์, เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์, ยางรถยนต์ และเครื่องจักรกล
กีรติกล่าวอีกว่า แม้ภาพรวมการส่งออกไทยในเดือนที่ผ่านมาจะติดลบอยู่ 6.2% แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียที่ติดลบ 18%, เกาหลีใต้ติดลบ 16.4%, อินเดียติดลบ 15.9%, มาเลเซียติดลบ 15.8%, สิงคโปร์ติดลบ 14.6% และจีนที่ติดลบ 10.4% จะเห็นว่าผลงานของไทยไม่ได้ย่ำแย่นัก และเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับโลก
แนวโน้มการส่งออกช่วงที่เหลือของปี
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยอมรับว่า การจะทำให้มูลค่าการส่งออกในปีนี้ขยายตัวเป็นบวกหรือเติบโตเป็นศูนย์โดยไม่ติดลบ ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย หากพิจารณาจากเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทยที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยหากจะทำให้ตัวเลขส่งออกในปีนี้อยู่ที่ 0% หรือไม่ขยายตัวเลย มูลค่าการส่งออกเฉลี่ยในแต่ละเดือนที่เหลืออยู่จะต้องอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์ และหากจะทำให้ขยายตัวที่ 0.5% มูลค่าจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
“เราน่าจะเห็นตัวเลขที่ติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 3 แต่ในช่วงไตรมาส 4 มีโอกาสสูงที่ตัวเลขจะกลับมาเป็นบวก เพราะตัวเลขฐานในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ การส่งออกรถยนต์ประสบปัญหาขาดแคลนชิป แต่ขณะนี้ปัญหาดังกล่าวได้คลี่คลายลงแล้ว โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การส่งออกรถยนต์โตได้ถึง 29.7% และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง” กีรติกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าหมายการส่งออกปีนี้ไว้ที่เป็นบวก 1-2% เพราะเป็นเป้าทำงาน แต่ยอมรับว่าเหนื่อย และตอบยากว่าจะทำได้ตามเป้าหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดเดาได้ยาก ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนก็ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ รวมถึงจะต้องรอดูนโยบายของรัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ก่อนด้วย
สรท. มองส่งออกปีนี้เสี่ยงติดลบมากกว่า 1%
ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแรงกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้ช้า ทำให้ตัวเลขส่งออกในเดือนกรกฎาคมยังออกมาติดลบ จากที่เคยคาดหวังกันว่าจะกลับมาเป็นบวกได้
“เดิมเราคาดการณ์ว่าภาพรวมส่งออกในปีนี้จะติดลบ 0.5% แต่ล่าสุดเราได้ปรับตัวเลขเป็นติดลบ 1% และมีโอกาสที่จะติดลบมากกว่านั้น หากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ซัพพลายเชนของไทยมีความเชื่อมโยงด้วยชะลอตัวมากกว่าคาด ในช่วงหลังจากนี้คงต้องจับตาดูสถานการณ์โลก แต่ที่แน่ๆ คือโอกาสที่ส่งออกไทยจะเป็นบวกมีน้อยมาก” ประธาน สรท. กล่าว
