การบริหารลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่มีรายได้ ล่าสุดรัฐบาลอนุมัติให้กองทุน Thai ESGX สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม ซึ่งปีนี้สามารถใช้ลดหย่อนได้สูงสุดรวม 6 แสนบาท และยังได้รับสิทธิลดหย่อนอีกในปีต่อๆ ไปเพิ่มเติมอีก
รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Mornin Wealth ระบุว่า ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ากับลงทุนในกองทุน Thai ESGX นับตั้งแต่เปิดขายหน่วยลงทุนถึง ณ วันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา มีเม็ดเงินลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 11,300 ล้านบาท
สำหรับกองทุน Thai ESGX เป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ มีนโยบายลงทุนเน้นในหุ้นของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ได้รับการรับรองรับว่ามี ESG รวมทั้งลงทุนในตราสารหนี้บางส่วนได้ด้วย
กองทุน Thai ESGX มี 2 วงเงินลดหย่อนภาษีที่ต้องรู้
โดยมีการออกแยกประเภทเป็น 2 ประเภท คือ
วงเงินที่หนึ่ง ผู้ลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่จะได้รับวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากเดิมเป็นวงเงินใหม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
– เปิดให้ลงทุนได้ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 30 มิถุนายน 2568
– กำหนดระยะเวลาการถือครองเท่ากับไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุน
วงเงินที่สองคือ จะให้เป็นวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่ลงทุนในกอง LTF เดิมที่ครบอายุ 10 ปี โดยหากมีการโยกย้ายเงินลงทุนจากกองทุน LTF เดิมมาอยู่ที่ กองทุน Thai ESGX ใหม่ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์รถหย่อนภาษี เป็นระยะเวลา 5 ปี ดังนี้
– ปีที่ 1 หรือปี 2568 จะได้รับสิทธิประโยชน์รถหย่อนภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาทต่อปี
– ปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 ได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีในจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษีสูงสุดที่ 50,000 บาทต่อปี
– เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยกองทุน LTF ไปกองทุน Thai ESGX ภายในวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 30 มิถุนายน 2568
โดยเงื่อนไขของกองทุน Thai ESGX ในการนำมาใช้ลดหย่อนภาษีในครั้งนี้ถือว่าเป็นสิทธิประโยชน์ที่ให้วงเงินลดหย่อนมากที่สุดนับตั้งแต่เคยมีมา
รู้จักกองทุน Thai ESGX ที่น่าสนใจของ บลจ.ไทยพาณิชย์
สำหรับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ปัจจุบันมีการออกกองทุน Thai ESGX จำนวน 4 รูปแบบกองทุน ดังนี้
รูปแบบที่หนึ่งคือ รูปแบบ T70x คือกองทุน SCB Mixed 70 Thailand ESG Extra Fund ซึ่งมีรูปแบบเป็นกองทุนผสมลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 70% แบบเชิงรุกส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้อีก 30%
รูปแบบที่สอง TAPx คือ กองทุน SCB Active Equity Plus Thailand ESG Extra Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุกโดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% ผสมกับ หุ้นต่างประเทศไม่เกินสัดส่วนอีก 20%
รูปแบบที่สาม TAx SCB Active Equity Thailand ESG Extra Fund เป็นกองทุนที่บริหารในเชิงรุกเน้นลงทุนในหุ้นไทยของบริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG ไม่ต่ำกว่า 80%
รูปแบบที่สี่ TS100x คือ กองทุน SCB SET100FF Index Thailand ESG Extra Fund เป็นกองทุนที่บริหารเชิงรุกด้วยกลยุทธ์แบบ Optimization เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET100FF
รุ่งโรจน์ ยังแนะนำถึงหลักในการคิดพิจารณาในการพิจารณาลงทุนในกองทุน กองทุน Thai ESGX ไว้ดังนี้
สำหรับกรณีที่นักลงทุนไม่ได้ถือกองทุน LTF ต่อไปแล้ว สามารถพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESGX โดยใช้สิทธิวงเงินที่หนึ่งตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ใหม่ได้เท่านั้น โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปี 2568
ส่วนกรณีนักลงทุนที่ยังถือกองทุน LTF เดิมอยู่ มีหลักในการคิดพิจารณาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ดังนี้
หนึ่ง ลงทุนเพิ่มใน กองทุน Thai ESGX ด้วยเงินลงทุนใหม่เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในวงเงินที่หนึ่งตามที่กล่าวไว้ในช่วงต้น
สอง สับเปลี่ยนไปยัง กองทุน Thai ESGX ทั้งหมดเพื่อรับสิทธิรถหย่อนภาษีในวงเงินที่สองได้เต็มที่
สาม ถือต่อในกองทุน LTF เดิมซึ่งจะเปลี่ยนเป็นกองทุนผสมทั่วไปหลังจากช่วงสับเปลี่ยนโดยไม่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีอีกต่อไป
สี่ ขายคืนกองทุน LTF แล้วนำเงินไปลงทุนใหม่ โดยใช้สิทธินำเงินไปลงทุนในกองทุน Thai ESGX ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเฉพาะวงเงินที่หนึ่งเท่านั้น
มองหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
รุ่งโรจน์ ให้มุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า ต้องการให้เน้นมองภาพการลงทุนระยะ 5 ปี เนื่องจากในระยะสั้นจะเห็นภาพการลงทุนที่มีความผันผวนอยู่บ้างจากปัจจัยประเด็นกดดันจากการสงครามทางการค้า (Trade War) ที่กระทบให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ประเมินว่าราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงนี้จากผลกระทบของสถานการณ์สงครามภาษีของสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่มีโอกาสซื้อหุ้นไทยในราคาที่ถูกลงจากภาวะปกติเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว นอกเหนือจากการได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
นอกจากนี้ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยระยะยาวมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาพรวมภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นไทย หรือ กองทุน Thai ESGX หรือกองทุน Thai ESG ปกติจึงมีโอกาสที่จะได้รับอัปไซด์จากการลงทุนในระยะยาวในอนาคต
เนื่องจากมีโอกาสที่จะเห็นปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ รวมถึงนโยบายด้านการเงิน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงในอนาคตซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไปเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น