×

เปิดยุทธศาสตร์กองทัพไทย END GAME สู้รบ คืออะไร กัมพูชาสิ้นสภาพภัยคุกคามเป็นไปได้จริง?

24.12.2025
  • LOADING...
เปิดยุทธศาสตร์กองทัพไทย END GAME สู้รบ คืออะไร กัมพูชาสิ้นสภาพภัยคุกคามเป็นไปได้จริง?

ตลอดระยะเวลากว่าสองสัปดาห์ของการปะทะที่เกิดขึ้นในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีประเด็นคำถามสำคัญที่คนไทยจำนวนมากสนใจ นอกจากเรื่อง ‘ใครได้เปรียบ’ หรือ ‘ใครเสียเปรียบ’ ในการสู้รบ แต่คือคำถามที่ว่า การสู้รบครั้งนี้จะยืดเยื้อไปถึงจุดไหน และ ‘จุดจบ’ หรือ ‘END GAME’ ที่กองทัพไทยกำลังมุ่งไปคืออะไร

 

ท่ามกลางการสู้รบที่ยังคงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ. ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ในรายการ NOW Special ที่เผยแพร่วานนี้ (23 ธันวาคม) มีหลายคำตอบที่สะท้อนนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของสถานการณ์ และภาพรวมของปฏิบัติการสู้รบครั้งนี้ ทั้งในมิติทางยุทธวิธี ไปจนถึงยุทธศาสตร์ แต่สิ่งที่เน้นย้ำมาตั้งแต่เริ่มต้น คือการทำให้กัมพูชา ‘สิ้นสภาพความเป็นภัยคุกคาม’

 

ในมุมมองของกองทัพ คำพูดนี้หมายถึงอะไร และปฏิบัติการรบ ณ วันนี้ใกล้ไปถึงจุดนั้นแล้วหรือยัง?

 

‘สิ้นสภาพภัยคุกคาม’ ไม่ใช่ยึดประเทศ

 

หนึ่งในถ้อยคำที่ถูกหยิบยกมาตั้งคำถามและเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือคำกล่าวของเสนาธิการทหารบกตั้งแต่วันแรกๆ ของการสู้รบ ที่ระบุว่า “การรบครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพความเป็นภัยคุกคาม” ซึ่งในสายตาของประชาชนทั่วไป อาจถูกตีความไปถึงการทำลายล้างกองทัพกัมพูชา

 

พล.อ. ชัยพฤกษ์ อธิบายอย่างชัดเจนว่า ความหมายดังกล่าวในทางทหาร คือการทำให้ ‘ขีดความสามารถทางการทหาร’ ของฝ่ายตรงข้าม ไม่สามารถก่อภัยคุกคามต่อประเทศไทยได้อีก ไม่ว่าจะเป็นในระยะใกล้ ระยะไกล หรือเชิงลึก โดยไม่ใช่การรุกล้ำอธิปไตยหรือยึดครองดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน

 

ขีดความสามารถเหล่านี้รวมถึงอาวุธ ยุทโธปกรณ์ คลังอุปกรณ์ คลังน้ำมัน แหล่งผลิตกำลังรบ รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกใช้เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารและการโจมตีข้ามพรมแดน ซึ่งเมื่อถูกลดทอนหรือทำลายลง ความสามารถในการคุกคามย่อมลดลงตามไปด้วย

 

ในมุมมองของกองทัพนั้น การ ‘สิ้นสภาพ’ จึงไม่ใช่การล่มสลายของกองทัพหรือของรัฐ แต่คือการสร้างสภาวะความปลอดภัยให้กับพื้นที่แนวชายแดนและประชาชนไทยในระยะยาว

 

3 ระดับปฏิบัติการรบของกองทัพไทย

 

เสนาธิการทหารบกอธิบายการปฏิบัติการรบครั้งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นกรอบคิดเชิงยุทธศาสตร์ของกองทัพอย่างชัดเจน

 

  • ระดับที่ 1 คือระดับยุทธวิธีในสนามรบ เป็นการปฏิบัติการในพื้นที่ปะทะโดยตรง การยึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์ การควบคุมภูมิประเทศ เช่นการยึดเนิน 350 ใกล้กับปราสาทตาควาย หรือเนิน 500 ที่ช่องอานม้า

 

  • ระดับที่ 2 คือระดับการปฏิบัติการเชิงลึก ซึ่งกองทัพไทยใช้ศักยภาพร่วมของทั้งสามเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพอากาศและปืนใหญ่ ในการโจมตีเป้าหมายสำคัญที่อยู่ลึกเข้าไปในฝั่งกัมพูชา เป้าหมายเหล่านี้ไม่ใช่ประชาชน แต่คือแหล่งสนับสนุนสงคราม อาทิ คลังยุทโธปกรณ์ คลังน้ำมัน และโครงสร้างทางทหารที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชาในการโจมตีไทย

 

  • ระดับที่ 3 คือระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำเนินการด้านการเจรจาทางการทูตและการต่างประเทศ

 

ความยากของการรบ

 

สำหรับเหตุผลที่ทำให้การสู้รบในครั้งนี้ ‘ไม่ง่าย’ นั้น พล.อ. ชัยพฤกษ์ อธิบายว่า ปัจจัยสำคัญหลักๆ คือการที่กัมพูชาเป็นฝ่ายยึดครองพื้นที่บางจุดและทำการ ‘ตั้งรับ’ ในขณะที่ทหารไทยต้องเป็นฝ่ายบุก หรือฝ่าย ‘เข้าตี’ ซึ่งมีโอกาสสูญเสียมากกว่า นอกจากนี้ยังมีกระสุนปืนจำนวนมากและอาวุธสำคัญอย่างจรวด BM-21

 

“เราเปรียบเสมือนผู้เข้าตี โดยยุทธวิธีทางการทหารนั้น ผู้ที่เข้าตีมีโอกาสสูญเสียมากกว่าผู้ที่ตั้งรับ ประกอบกับยุทโธปกรณ์สำคัญของกัมพูชาคือ BM-21 และกระสุนก็ค่อนข้างมีจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ฝ่ายเรา”

 

ประเมินสถานการณ์ ‘ใกล้เป้าหมาย’ แต่ยังไม่ใช่จุดจบ

 

เมื่อถูกถามว่าการรบใกล้จะถึงจุดจบแล้วหรือยัง เสนาธิการทหารบกประเมินว่า สถานการณ์ในตอนนี้ ‘ใกล้เคียง’ กับเป้าหมายที่กองทัพตั้งไว้ตั้งแต่ต้น และเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยไม่มีความผิดพลาดจากการประเมินเชิงยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติการทางทหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมินของกองทัพฝ่ายเดียว แต่ต้องพิจารณาในภาพรวมเพื่อ ‘สันติภาพในระยะยาว’

 

“ในทางทหารเราเกือบจะสมบูรณ์ตามแผนแล้ว แต่การจะหยุดหรือไม่ต้องประเมินภาพรวมเพื่อสร้างสันติภาพในระยะยาว ซึ่งต้องมีการพูดคุยระหว่างหน่วยงานและการทูตเข้ามาเกี่ยวข้อง”

 

END GAME ของกองทัพ ไม่ยืดเยื้อแบบสงครามยูเครนหรือกาซา

 

สำหรับความเป็นไปได้ที่การสู้รบของไทยจะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อแบบเดียวกับยูเครน หรือสงครามในฉนวนกาซานั้น เสนาธิการทหารบกแสดงความมั่นใจว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาไม่น่าจะลากยาวในระดับเดียวกัน เนื่องจากขีดความสามารถทางการทหารของฝ่ายกัมพูชาถูกลดทอนไปแล้วอย่างมีนัยสำคัญ

 

“เราค่อนข้างมั่นใจว่าเราลิดรอนขีดความสามารถทางการทหารของเขาไปมากพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้นมันถึงมีในเรื่องของความพยายามเจรจากับฝ่ายไทย แน่นอนว่ากัมพูชาอาจจะคิดหรือพูดว่าอาจจะเป็นสงครามยืดเยื้อหรือสงครามระดับย่อยในพื้นที่ แต่เราได้เตรียมการไว้แล้วว่าเขาคิดอะไร กองทัพมั่นใจว่าเราสามารถที่จะดูแลได้”

 

โจมตีฐานสแกมเมอร์ เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

 

อีกหนึ่งปฏิบัติการที่เราได้เห็นในการสู้รบครั้งนี้ คือการโจมตีของกองทัพต่อเป้าหมายคาสิโน ที่ถูกจับจ้องว่าเป็นฐานที่ตั้งของกลุ่มสแกมเมอร์ หรือเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ข้ามชาติในบริเวณชายแดนกัมพูชา โดย พล.อ. ชัยพฤกษ์ เปิดเผยว่า ทางฝ่ายข่าวกรองของกองทัพ หรือทางตำรวจไทยนั้นมีข้อมูลอยู่แล้ว ว่าศูนย์สแกมเหล่านี้อยู่ตรงบริเวณไหนบ้าง และตรงไหนที่เป็นภัยคุกคามกับประเทศไทย

 

“บังเอิญว่าเขาใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร มีการนำอาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังคน เข้าไปซุกซ่อน เข้าไปใช้พื้นที่ดังกล่าวมาตอบโต้เรา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลหนึ่ง เป็นเหตุผลที่สำคัญที่เราจะต้องเข้าไปดำเนินการ”

 

โดยเสนาธิการทหารบกยืนยันว่า “เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น”

 

สำหรับคำถามว่ากองทัพมีแผนที่จะโจมตีศูนย์สแกมเมอร์จุดอื่นๆ เพิ่มอีกหรือไม่นั้น พล.อ. ชัยพฤกษ์ ชี้ว่าการโจมตีเกือบจะครบทุกเป้าหมายแล้ว จะเหลือเฉพาะบางพื้นที่ ซึ่งทางกองทัพกัมพูชาใช้วิธีการนำคนไปเป็นโล่มนุษย์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

 

“เขาทราบดีว่าทางกองทัพไทยจะไม่โจมตีไปที่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชาวกัมพูชาหรือใครก็ตาม เราจะหลีกเลี่ยง แต่ก็คงจะมีวิธีอื่นในการลิดรอนในเรื่องดังกล่าว”

 

GBC และการเจรจา ทางออกที่เลี่ยงไม่ได้

 

สำหรับการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC (General Border Committee) ซึ่งถูกจับตามองว่าอาจเป็นโอกาสสำคัญในการหยุดยิงนั้น จนถึงตอนนี้ยังคงยากจะคาดเดาว่าจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ แต่พล.อ. ชัยพฤกษ์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ปฏิบัติการทางทหารย่อมจบลงที่การพูดคุยเจรจา”

 

“ปฏิบัติการทางทหารที่ยืดเยื้อยาวนาน แน่นอนมันย่อมต้องมีการสูญเสีย ทั้งในแง่ของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ หรือแม้กระทั่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีประเทศไหนที่ต้องการ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง มันก็คงจะต้องมีการพูดคุยหารือกันว่า ทางออกสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร”

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภายหลังเหตุการสู้รบที่ปะทุขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ในเวลาต่อมาก็มีการประชุม GBC ซึ่งนำมาสู่การหยุดยิง แต่ท้ายที่สุดยังคงปรากฎการละเมิดข้อตกลง เช่น การลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ของฝ่ายกัมพูชา จนทำให้การหยุดยิงล้มเหลวในที่สุด

 

ขณะที่ พล.อ. ชัยพฤกษ์ กล่าวว่า กองทัพยังคงเชื่อมั่นในกลไกการพูดคุยทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา และคาดการณ์ไว้แล้วว่าท้ายที่สุด ฝ่ายกัมพูชาจะใช้วิธีการใช้ประเทศต่างๆ มากดดันเพื่อขอเจรจา

 

“ทางออกท้ายที่สุดคือมาขอเจรจา แต่แน่นอน เราทราบว่าเขาคงเสียหน้าไม่ได้ เพราะว่าปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่ม เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็นฝ่ายที่รับผิดชอบ”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising