ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยปี 2561 นี้มีแนวโน้มสดใสขึ้น หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา รัฐบาลมองว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP จะขยายตัวที่ 3.8% และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ประกาศว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของรัฐบาล
การส่งออกยังเป็นพระเอกสำคัญที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกับการลงทุนภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ นอกจากสำนักเศรษฐกิจจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดีกันแล้ว ตลาดหุ้นยังขานรับเม็ดเงินการลงทุน โดยดัชนีพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 4 ทศวรรษและนี่อาจถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของปีนี้
รัฐบาลหวัง GDP โตแตะ 4% ส่งออก-ลงทุนภาครัฐยังเป็นความหวังสำคัญ
เดือนตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงคาดการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2561 โดยมองว่า GDP จะขยายตัวที่ 3.8% ภายใต้ช่วงคาดการณ์ 3.3-4.3% และล่าสุด อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ถึง 4.1% ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการตอกย้ำจากทางรัฐบาลว่าปีนี้จะเป็นปีที่สดใสของคนไทย
ขณะที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คีย์แมนคนสำคัญของทีมเศรษฐกิจมองว่า ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวสิ่งที่รัฐบาลได้ลงทุนผ่านโครงการต่างๆ ไปก่อนหน้านี้ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านหรือโครงการพร้อมเพย์ โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ตามแผนภายในกลางปีนี้ เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล
หัวใจสำคัญคือการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นทั้งโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือโครงการรถไฟทางคู่ ซึ่ง ดร.สมคิดเชื่อว่าเป็นปีทองของประเทศในเอเชียแน่นอน และเศรษฐกิจไทยก็จะทะยานสู่ความรุ่งโรจน์ตามไปด้วย
กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ของปี 2561 อยู่ที่ 0.6-1.6% ซึ่งอยู่ภายใต้สมมติฐานการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปี 2561 อยู่ที่ 3.5-4% โดยท่ีราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าเงินเฟ้อทั้งปีไม่เกินกรอบที่คาดการณ์ไว้คือไม่เกิน 1% การสนับสนุนภาคการเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กจากรัฐบาลยังเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นหวือหวาสูงสุดในรอบ 43 ปี ลุ้นทะลุ 1,800 จุด
สิ่งที่สะท้อนภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ซึ่งล่าสุด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เปิดซื้อขายวันแรกของปี 2561 ทำสถิติใหม่ ปิด ณ วันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ 1,778.53 จุด เป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ในรอบ 43 ปีนับตั้งแต่เปิดซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2518
ตลาดหุ้นปรับขึ้น 24.82 จุด หรือ 1.42% จากสิ้นปี 2560 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมปรับขึ้นสูงสุดเป็น 18.17 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 88,076.86 ล้านบาท (SET และ mai) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความเห็นว่า นักลงทุนยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตและบริษัทจดทะเบียนยังมีความสามารถในการทำกำไร
อย่าประมาทบาทแข็งต่อเนื่อง ผู้ส่งออกต้องปรับตัว
แม้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ จะประเมินทิศทางของค่าเงินบาทว่าจะคงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ผ่านมา แต่ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล. ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนจะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง และจะเกิดการไหลออกของเงินทุนไปสู่ภูมิภาคอื่น
ปริญญ์คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาที่ประเทศไทยมากขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการส่งออกยังดีขึ้นต่อเนื่อง และภาพรวมของประเทศยังถือว่ามีความแข็งแกร่ง โดยจะส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นอีกในระยะกลางและระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องเร่งปรับตัวคือธุรกิจส่งออก ซึ่งที่ผ่านมามักจะพึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก ถ้าเงินบาทอ่อนค่า ราคาสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งก็จะถูกลง ทำให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นผันแปรตามค่าเงิน ถ้าแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ ผู้ประกอบการนอกจากประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารแล้วยังต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมของสินค้าและบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่ไม่ใช่ด้านราคาเพียงอย่างเดียว และยังต้องหาตลาดใหม่ๆ สำหรับการกระจายสินค้าอีกด้วย
ต้องยอมรับว่านี่เป็นรุ่งอรุณของศักราชใหม่ที่เริ่มต้นด้วยข่าวคราวที่ทำให้ภาคธุรกิจใจชื้นขึ้นมาได้เมื่อเปรียบเทียบกับรอบหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามเน้นย้ำว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจก็ออกมาน่าพึงพอใจทีเดียว สิ่งที่ยังเป็นโจทย์สำคัญหนีไม่พ้นการขับเคลื่อน เร่งเครื่องผลักดันนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันปัจจัยภายนอกประเทศที่จะมีผลกับการส่งออกอันเป็นรายได้หลักก็ยังไม่สามารถประมาทได้เลย
ทำอย่างไรจึงจะรักษาแรงเหวี่ยงจากจุดเริ่มต้นที่ดีนี้ไปได้ถึงปลายปี นี่เป็นโจทย์ที่ท้าทายของคนไทยทุกคน
อ้างอิง:
- www.thaigov.go.th/news/contents/details/7670
- www.kasikornasset.com/TH/MarketUpdate/Pages/20171221.aspx
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- บล. ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)