พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทย หรือ GDP ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% โดย GDP ไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อน ณ เดือนเมษายน 2568 ที่คาด 2.1%
“ประมาณการ GDP ของไทยที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2% ถือว่าสอดคล้องกับมุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ล่าสุดเมื่อคืนนี้ที่ปรับเพิ่ม GDP ของไทยที่เดิมมองจะขยายตัว 1.8% เพิ่มมาเป็น 2% มาช่วยเสริมสมมติฐานของกระทรวงการคลัง” พรชัยกล่าว
ทั้งนี้ ประมาณการ GDP ที่ออกมาดังกล่าวอยู่ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ว่าไทยมีโอกาสจะได้รับข้อตกลงที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ที่กว่า 36% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางที่ตลาดโลกได้รับการผ่อนปรน โดยอัตราภาษีที่ได้รับการผ่อนปรนจะอยู่ในช่วง 15-36% โดย 15% คืออัตราต่ำสุดที่สหรัฐฯ ประกาศจะให้กับประเทศต่างๆ และ 36% คืออัตราสูงสุดที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ แต่ไม่สามารถให้ตัวเลขคาดการณ์ภาษีที่ชัดเจนได้เพราะอยู่ในช่วงการเจรจาเงื่อนไขรายละเอียดระหว่างทีมไทยแลนด์กับสหรัฐฯ
ภาพ: ประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2568 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
โดย GDP ของไทยที่ขยายตัวดีขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ปัจจัยที่ฟื้นตัวดีขึ้น ดังนี้
- การผลิตภาคอุตสาหกรรม คาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมปีนี้จะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.2% จากปีก่อนหน้าที่หดตัว 0.4% จากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ
- การส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ โดยในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เนื่องจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568
อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายในไตรมาสที่ 3/2568 ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัว 5% โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออก
- การบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าปีนี้จะขยายตัว 3.1% ตามกำลังซื้อในประเทศสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเติบโตติดต่อกัน 9 ไตรมาสสำหรับการลงทุนภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวที่ 3% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 0.4%
โดยการลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งแรกของปี 2568 ด้านการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.9% จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่มีส่วนช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านน้ำและด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ เป็นต้น
ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.4% ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 2 9% ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุล
ทั้งนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงทีและตรงจุด ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ประเมินผลกระทบไทยปะทะกัมพูชา
สำหรับประเด็นผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร เนื่องจากสัดส่วนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาคิดเป็นประมาณ 1.4% ของมูลค่าการค้ารวม และไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ขัดแย้งตามแนวชายแดน ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน ประกอบด้วย
- การขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่ม หากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว
- การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี
- การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องและพักชำระหนี้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ โดยกระทรวงการคลังมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการเตรียมความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมได้ทันท่วงทีต่อไป
ในระยะต่อจากนี้ไป ควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่
- นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น
- ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ
- ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน
- การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ
หั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.9%
ด้าน ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2568 ลงจากเดิม 36.5 ล้านคน เหลือเพียง 34.5 ล้านคน หรือลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ภาพ: ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2568 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
โดยรายงานของ สศค. ระบุว่า ในไตรมาส 2/2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ลดลงกว่า 40% ติดต่อกัน 5 เดือน เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจีนมีแนวโน้มชะลอตัว และนโยบายรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลจากการปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครั้งนี้ จะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเหลือ 1.62 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมอยู่ที่ 46,900 บาท
มาเลเซีย-อินเดีย ยังเติบโต สวนทางภาพรวม
แม้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติจะชะลอตัว แต่ก็ยังมีข่าวดีจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดย สศค. ชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและอินเดียยังคงขยายตัวในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้รับอานิสงส์จากวันหยุดเทศกาลศาสนา อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ นักท่องเที่ยวมาเลเซียและจีนยังคงเป็นชาติหลักที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตามด้วยอินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ตามลำดับ
ครึ่งปีหลังลุ้นฟื้นตัว ไฮซีซันหนุนยุโรปเที่ยวไทย
กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มระยะไกล โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป เนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียนในประเทศแถบยุโรป
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
- การขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
- การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนของประเทศต่างๆ ในเอเชีย
- ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง