ดร.ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เตือนว่า ในบริบทที่ไม่แน่นอนและซับซ้อนนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศขนาดกลางที่มีความเชื่อมโยงสูงกับเศรษฐกิจโลก ต้องปรับบทบาทและวางจุดยืนทางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยต้องสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันเชิงนโยบาย’ ที่แข็งแกร่ง ทั้งในมิติของการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในการบรรยายหัวข้อ ‘สงครามการค้ากับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป’ ดร.ณรงค์ศักดิ์นำเสนอภาพรวมและความท้าทายต่างๆ ที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกันของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งฉายภาพบทบาทสำคัญของประเทศไทยในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
ประธานหอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า โลกในศตวรรษที่ 21 กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญสู่ระเบียบโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยพลวัต ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ได้ยึดโยงอยู่กับแค่มหาอำนาจเพียงหนึ่งหรือสองประเทศอีกต่อไป แต่กำลังก้าวเข้าสู่โครงสร้าง ‘โลกหลายขั้ว’ (Multipolar World) ที่ไม่ได้มีเพียงจีนกับสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากแต่รวมถึงกลุ่มภูมิภาคและประเทศสำคัญอื่นๆ เช่น อาเซียน อินเดีย ลาตินอเมริกา หรือแม้กระทั่งกลุ่มความร่วมมืออย่างบริกส์ (BRICS) ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ความตึงเครียดทางการค้ากำลังเปลี่ยนสู่การแข่งขันของมหาอำนาจในการกำหนดกติกาและทิศทางของโลก
โดยปัจจุบันสหรัฐอเมริกากำลังพยายามดึงดูดการลงทุนกลับประเทศอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง และเซมิคอนดักเตอร์ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Reshoring หรือการย้ายฐานการผลิตหรือซัพพลายเชนจากต่างประเทศกลับมายังสหรัฐอเมริกา, Friendshoring หรือการย้ายการผลิตไปยังประเทศพันธมิตรที่น่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อลดการพึ่งพาคู่แข่ง และ Nearshoring ซึ่งหมายถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่อยู่ใกล้ตลาดหลัก เพื่อให้บริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนมากยิ่งขึ้น
ดร.ณรงค์ศักดิ์ ระบุว่า ปัจจัยหลักที่กำหนดบริบทโลกในปัจจุบัน ได้แก่ ความร่วมมือทางการค้าผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่หลากหลายและซับซ้อน เช่น WTO (องค์การการค้าโลก), FTA (ความตกลงการค้าเสรี), RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค), CPTPP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางการค้าโลก อีกปัจจัยคือความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสมดุลทางเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเร่งปรับกลยุทธ์ด้านการค้า การลงทุน และการผลิตใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยขัดแย้งหลักในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงการแย่งชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) การแข่งขันด้านการลงทุนในพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นพลังงานแห่งอนาคต และความพยายามในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและซัพพลายเชนของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาจากภายนอก
ในบริบทที่ไม่แน่นอนและซับซ้อนนี้ ดร.ณรงค์ศักดิ์ชี้ว่า ไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทและวางจุดยืนทางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกอย่างยั่งยืน โดยต้องกำหนดจุดยืนทางยุทธศาสตร์ของชาติอย่างชัดเจน ด้วยการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็น ‘ศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหาร’ หรือ ‘ฮับการผลิตและโลจิสติกส์ของอาเซียน’ รวมถึงการกำหนดจุดแข็งของตนเอง เช่น Soft Power ด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว โดยยึดหลักผลประโยชน์ของชาติ ความยั่งยืน และความสมดุลในการดำเนินนโยบายระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ อย่างชาญฉลาด การพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับทิศทางโลกก็เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างจริงจัง, ยกระดับมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, Governance) ให้เป็นสากล, และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลกและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น
ดร.ณรงค์ศักดิ์ ยังมีข้อเสนอแนะให้กระจายความเสี่ยงในตลาดและซัพพลายเชน เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา หรือจีนเพียงรายเดียว ขณะเดียวกันก็เสริมบทบาทของไทยในอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคง เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและลดการพึ่งพามหาอำนาจ ตลอดจนเร่งเจรจาและขยาย FTA กับประเทศหรือกลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างหลากหลาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ และลดความเสี่ยง นอกจากนี้ ดร.ณรงค์ศักดิ์ ระบุว่า การเสริมสร้างศักยภาพภายในประเทศก็เป็นสิ่งจำเป็น ด้วยการยกระดับแรงงานให้มีทักษะตรงกับความต้องการของโลกยุคใหม่ ซึ่งเน้นทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงการเตรียมการเพื่อรับมือกับความผันผวนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความล่าช้าด้านวัตถุดิบ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงทางภาษี ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
ส่วนความสัมพันธ์กับจีนนั้น ดร.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก จีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญและเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ขาดไม่ได้สำหรับประเทศไทย
เป็นที่คาดการณ์ว่าในปี 2025 มูลค่าการค้าโลกอาจหดตัวลงร้อยละ 0.2 และหากสถานการณ์กำแพงภาษียังคงยืดเยื้อ อาจหดตัวได้มากถึงร้อยละ 1.5 ซึ่งความไม่แน่นอนนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสูง
อย่างไรก็ตาม ดร.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ความร่วมมือกับจีนยังคงเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศไทยได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงสู่ตลาดโลกขนาดใหญ่ หรือการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน โดยไทยตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก สามารถเชื่อมโยงจีน-เอเชียใต้-ตะวันออกกลาง และเป็น ‘ฮับโลจิสติกส์-ศูนย์กลางการแปรรูป’ ที่สำคัญได้
ไทยควรกระจายความเสี่ยงโดยการขยายตลาดส่งออก และเร่งเจรจา FTA ที่สำคัญ เช่น Thai-EU FTA และ CPTPP เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า ประกอบกับการที่จีนใช้นโยบายเศรษฐกิจ Dual Circulation และยุทธศาสตร์ BRI เพื่อกระชับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งอาจทำให้ไทยได้รับโอกาสทั้งการค้าและการลงทุนจากนโยบายเหล่านี้ของจีน
ดร.ณรงค์ศักดิ์ย้ำว่า จีนยังถือเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลกในอนาคต เศรษฐกิจไทยจึงต้องเร่งปรับตัว ลดการพึ่งพาตลาดเดิม เสริมความร่วมมือกับจีนอย่างสมดุล พร้อมใช้โอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อผลักดันการเติบโต โดยความร่วมมือกับจีนควรอยู่บนพื้นฐานของ ‘หุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน’ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
ดร.ณรงค์ศักดิ์ เสริมว่า ประเทศไทยต้องสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันเชิงนโยบาย’ ที่แข็งแกร่ง ทั้งในมิติของการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและโปร่งใส และถึงแม้เศรษฐกิจโลกอาจอยู่ในช่วงขาลง แต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบ อาหารยังคงเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน และยังมีโอกาสอีกมาก หากประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรได้ เช่น การแปรรูปข้าวไทยให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและตอบโจทย์ตลาดโลกได้หลากหลายยิ่งขึ้น
สำหรับการบรรยายครั้งนี้อยู่ในหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (บทจ.2) และหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (Young Executive Program 2) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน โดยมีกรรมการบริหารสมาคมฯ สื่อมวลชน ผู้บริหาร และผู้เข้าเรียนในหลักสูตรกว่า 100 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร
ภาพ: Corona Borealis Studio via ShutterStock