วันที่ 23 สิงหาคม สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำคณะเข้าพบแสดงความยินดีกับ แพทองธาร ชินวัตร ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งหารือถึงประเด็นสำคัญในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจไทย อย่างตรงจุด
โดยหอการค้าไทยจัดทำข้อเสนอทางเศรษฐกิจเร่งด่วนมอบต่อนายกรัฐมนตรี ณ อาคารชินวัตร ทาวเวอร์ 3 ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ โดย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ กล่าวว่า การหารือร่วมกันในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้รับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นชัดเจน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นกรอบในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
โดยเน้นย้ำการปลดและลดหนี้ร่วมกัน ด้วยวิธีการลดส่วนต่างของดอกเบี้ยและจัดการหนี้นอกระบบ การจัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาหนี้ การจัดการเรื่อง Anti-Dumping และเห็นด้วยกับหอการค้าฯ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ และสิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวตามเป้าหมาย Net Zero ที่ไทยประกาศไว้
ด้าน สนั่น อังอุบลกุล กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ว่ากำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาหลากหลายมิติ หอการค้าฯ ได้รับระดมความเห็นจากเครือข่ายเอกชนทั่วประเทศ โดยมี 3 เรื่องเร่งด่วนที่ภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ
- การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
- การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs
- การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ดังนี้
1. สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ
แผนงานเร่งด่วนระยะสั้น ได้แก่
- กระจายงบประมาณ (Decentralized) เร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค และให้ความสำคัญกับจัดทำงบประมาณปี 2568 ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ให้ยืดเยื้อเหมือนในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
- การกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังประชาชน 3 กลุ่ม โดยแยกวิธีการให้เหมาะสม ได้แก่ (1) มุ่งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มเปราะบางเป็นสิ่งเร่งด่วนก่อน เพื่อให้กลุ่มนี้มีกำลังซื้อทันที โดยใช้แพลตฟอร์มภาครัฐที่มีอยู่หรือพิจารณาแจกแบบเงินสด เพื่อให้ทันต่อความต้องการของประชาชน (2) ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อ สามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคนละครึ่ง ช่วยเพิ่มกำลังซื้อโดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก (3) สำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง สามารถออกมาตรการเพื่อดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการ Easy e-Receipt และมาตรการทางภาษีอื่นๆ โดยรัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ
- มาตรการช่วยเหลือและเยียวยา ได้แก่ (1) ลดค่าใช้จ่ายทั้งการลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน ตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น (2) การพิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (3) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแต่ละประเภทให้ชัดเจน อาทิ ลูกหนี้ชั้นดี ที่มีวินัยในการชำระสม่ำเสมอ หรือลูกหนี้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เช่น เช่าซื้อรถเพื่อมาประกอบธุรกิจ รัฐบาลอาจมีมาตรการลักษณะส่วนลดค่าดอกเบี้ย (4) สถาบันการเงินต่างๆ ควรผ่อนผันค่าปรับการจ่ายหนี้ล่าช้าเพื่อบรรเทาภาระของประชาชน (5) สำหรับการจัดการสภาพคล่องผู้ประกอบการ จำเป็นต้องปรับปรุงการชำระหนี้ และจัดการหนี้ของภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่กับ SMEs โดยปรับปรุงเงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้าให้รวดเร็ว รวมถึงการนำเอาเอกสารการสั่งซื้อ-ส่งมอบสินค้าไปทำ Supply Chain Financing จะทำให้กระแสเงินสดของ SMEs ดีขึ้น
- กระจายอำนาจ ได้แก่ (1) มีมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม สำหรับการลงทุนในเมืองที่มีศักยภาพ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองน่าเที่ยวแล้วยังต้องเป็นจังหวัดนำร่องที่ต้องปลดล็อกศักยภาพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ให้มากขึ้น (2) สานต่อโครงการที่หอการค้าฯ ร่วมกับรัฐบาลชุดก่อนยกระดับเมืองรองสู่เมืองหลัก โดยมีเป้าหมาย 10 จังหวัดทั่วประเทศ
- ปรับปรุงกฎระเบียบที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการแข่งขันของภาคธุรกิจ
แผนงานระยะกลางและยาว ได้แก่
- เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยอาศัยกลไกที่มีอยู่ทั้ง กรอ. ส่วนกลาง, กรอ. กลุ่มจังหวัดและจังหวัด เช่นเดียวกับ Partnership Model ในต่างประเทศ ในรูปแบบ Team Thailand Plus โดยเฉพาะโครงการ Young Public and Private Collaboration (YPC) ที่แต่ละจังหวัดได้รับความร่วมมือจากทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชื่อมโยงการทำงานและสร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนในแต่ละจังหวัด
- เน้นการสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจรับรู้และเกิดความมั่นใจ
- สำหรับการวัดผลสำเร็จด้านเศรษฐกิจ เอกชนเห็นว่าควรตั้งเป้า GDP ประเทศไม่ต่ำ 3-5% โดยส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลเสมือนเซลส์แมนเปิดการขาย และจำเป็นต้องปิดการขายให้ได้ ซึ่งต้องมีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลความสำเร็จอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ควรใช้ Ease of Doing Business Index เป็นดัชนีวัดผลการปรับปรุงกฎระเบียบในการทำธุรกิจของประเทศ ตลอดจนมีมาตรการ กฎระเบียบ หรือกฎหมาย ที่สอดรับกับแนวทาง SDGs เพื่อให้เกิดการยอมรับจากนานาชาติ
2. การเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ผ่านกลยุทธ์ ผลักดัน ตั้งรับ จับมือ ช่วยให้สินค้าไทยแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่
ผลักดัน – นโยบายอีคอมเมิร์ซของชาติ และการศึกษาผลกระทบของสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทยอย่างจริงจัง ลงรายละเอียดรายอุตสาหกรรม รวมถึงใช้ Data Driven ส่งเสริมสินค้าไทยในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซควบคู่ไปกับการผลักดันสินค้าไทยออกไปในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยใช้รูปแบบบริษัทตัวกลางทำหน้าที่ช่วยเหลือ SMEs ไทยที่มีสินค้าดีมีคุณภาพ หาช่องทางเข้าไปจำหน่ายในแพลตฟอร์มต่างๆ นอกจากนี้ภาครัฐจำเป็นต้องศึกษาสิทธิประโยชน์และหลักเกณฑ์ต่างๆ ของแต่ละประเทศ รวมถึงเร่งเจรจา FTA พร้อมกำหนดประเทศยุทธศาสตร์ ซึ่งสินค้าไทยมีโอกาสขยายตลาดใหม่ได้ในประเทศอินเดีย บราซิล และเม็กซิโก โดยเฉพาะซอฟต์พาวเวอร์ที่จะเป็นส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการไทย ตลอดจนสร้างนักรบดิจิทัล-นักรบอีคอมเมิร์ซด้วยการเน้นหลักสูตรเทคนิคการขายให้มากขึ้น เพื่อสร้างเด็กไทยให้เป็นนักขายที่พร้อมส่งออกสินค้าแต่ละท้องถิ่นไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก
ตั้งรับ – จัด Priority สินค้าบางประเภทของไทยที่จำเป็นต้องมีมาตรการปกป้อง เพื่อให้มีที่ยืนและแข่งขันได้ภายใต้ความเป็นธรรม และใช้เป็นมาตรฐานอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ พร้อมทั้งส่งเสริม SMEs ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐานสากล ไม่แข่งขันด้านราคากับจีน เพราะ Economies of Scale รวมถึงมีการเพิ่มมาตรการด้านการลงทุน เน้นบังคับใช้ Local Content มาตรการควบคุมระบบชำระเงิน Payment ต่างชาติ ให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย และการจัดเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซต่างชาติ
จับมือ – ส่งเสริมให้มีการลงทุนร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างชาติ (Joint Venture) และให้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่จะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไทย ขณะเดียวกันรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างกลไกการทำงานร่วมกับรัฐบาลจีน เพื่อช่วยให้เข้มงวดกับมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าที่นำเข้า
3. การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ได้แก่
- รักษาโมเมนตัมในธุรกิจที่ประเทศไทยยังแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ทั้งเรื่อง Food, Tourism, Wellness และ Logistics ที่รัฐบาลได้วางแผนไปสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค รวมถึงเร่งดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ด้านดิจิทัล, รถยนต์ EV และส่งเสริมเรื่องการ Connectivity ในภูมิภาค เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง เพื่อสร้าง S-Curve ของ เศรษฐกิจไทย
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ของไทย ส่งเสริมรูปแบบการเรียน STEM Education เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานทักษะสูง และการสร้าง Learning Center เปลี่ยนแปลงบทบาทของครู จาก Center of Knowledge ไปเป็น Facilitator ให้เด็กและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมตามความสนใจ โดยภาคเอกชนพร้อมมีส่วนในการจัดทำฐานความรู้ Learning Center ออกแบบหลักสูตร (Curriculum) ร่วมกับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ควรจัดทำ Internship แบบ open ระหว่างเรียนที่สามารถเก็บเป็นเครดิต จะช่วยให้สามารถพัฒนาคนได้ตรงความต้องการของภาคธุรกิจ
- ยกระดับโครงสร้างพลังงานดั้งเดิมสู่พลังงานสีเขียว โดยกำหนดเป้าหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน ให้เป็นสัดส่วนหลักในการผลิตไฟฟ้าระบบ Carbon Credit Trading และมีมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ เช่น การให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน และการกำหนดและบังคับใช้มาตรฐานสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง รวมถึงส่งเสริมการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) ฯลฯ
“ข้อเสนอระยะเร่งด่วนนี้จะช่วยทำให้ GDP ของไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3-5% ต่อปี โดยหอการค้าไทยและเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศพร้อมสนับสนุนและทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้ประเด็นข้อเสนอทางเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถขับเคลื่อนและเห็นผลเป็นรูปธรรม” สนั่นกล่าวทิ้งท้าย
โดยการประชุมดังกล่าวมี พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม