×

ยอดขายรถ ต.ค.ร่วงอีก 36% หั่นเป้าผลิตฮวบ 2 แสนคัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแข่งเดือด ราคาลิเธียมดิ่ง ลามสู่ ปตท. จ่อถอนร่วมทุน Foxconn สร้างโรงงาน EV

25.11.2024
  • LOADING...
ยอดขายรถ

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 ลงอีกครั้ง 2 แสนคัน หลังเดือนตุลาคมยอดขายร่วง 36.06% ส่งออกลดลง 20.23% ยอดขายรถยนต์ BEV ลดลงอีกถึง 49.73% นับเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยสุรพงษ์มองว่าปีนี้ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยร้อนแรงและการแข่งขันสูง ราคาลิเธียมโลกดิ่งที่สุดในรอบ 3 ปี อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ ปตท. ถอนการลงทุนโรงงาน OEM ร่วมกับ Foxconn

 

ปีหน้าพร้อมจับตาภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายขึ้นภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ สะเทือนผลส่งออกไทยไปยังเม็กซิโกและสหรัฐฯ ดังนั้นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. จึงขอให้รัฐบาลไทยเร่งดึงดูด FDI สหรัฐฯ โดยเฉพาะบิ๊กเทค Data Center และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างดุลการค้าสหรัฐฯ-ไทย

 

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ลดเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 ลงอีกครั้งถึง 2 แสนคัน จาก 1.7 ล้านคันเหลือ 1.5 ล้านคัน 

 

โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 5.56 แสนคัน เป็น 4.5 แสนคัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1.15 ล้านคันเป็น 1.05 ล้านคัน เนื่องจากในเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ที่ 25.13% และลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ที่ 2.81% เพราะการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7% และผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 51.7% ส่งผลให้ 10 เดือน (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2567) มียอดผลิตทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลง 19.28% 

 

ยอดขาย-ยอดส่งออกร่วงต่อเนื่อง พิษหนี้ครัวเรือน แบงก์เข้มสินเชื่อ

 

ขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ 36.08 % ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน (4 ปี) นับตั้งแต่ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์จากการระบาดของโควิด และนับจากเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงปัจจุบัน 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

“การเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อยอดขายที่ลดลง โดยจำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 มีจำนวน 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาส 2 จำนวน 75,377บัญชี เท่ากับ 1.2% และลดลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชี หรือ 3.0%”

 

ส่วนจำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาส 3 จำนวน 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ 2.8% และลดลง 5.8% จากไตรมาส 3 ของปี 2566 ทั้งนี้ ยอดขายที่ลดลงหลักๆ สะท้อนจากรถบรรทุก เศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราที่ต่ำ และหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ร้อยละ 0.1 ในไตรมาส 3

 

โดย 10 เดือนรถยนต์มียอดขาย 476,350 คัน ลดลงจากปี 2566 ในช่วงเวลาเดียวกัน 26.24% แยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์มีจำนวน 284,304 คัน เท่ากับ 59.84% ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 12.22%

 

ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.08% แต่ก็พบว่าลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ที่ 20.23% การส่งออกลดลงเพราะฐานสูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ที่สงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวน้อยลง

 

สำหรับเดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่จำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว 32.19% ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง 49.73%

 

“ยอมรับว่าสถานการณ์รถยนต์บ้านเราน่าเป็นห่วงมากพอๆ กับช่วงต้มยำกุ้ง ซึ่งที่ผ่านมาเราปรับเป้าผลิตลดลงไปแล้วครั้งหนึ่ง ปรับเฉพาะยอดผลิตในประเทศจาก 750,000 คันเป็น 550,000 คัน แต่ครั้งนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย ปีนี้ถือว่าแย่มากๆ จึงต้องปรับเป้าหมายอีกรอบ ดังนั้นคงต้องลุ้นการลงทุน FDI ว่ารัฐบาลจะสามารถกระตุ้นการลงทุน ซึ่งสะท้อนจากคำขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้แค่ไหน”

 

 

มองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยแข่งเดือด ราคาลิเธียมดิ่ง อาจทำให้ ปตท. ถอนร่วมทุน Foxconn สร้างโรงงาน OEM ผลิต EV พร้อมแนะจับตาทรัมป์ขึ้นภาษี

 

สุรพงษ์กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า กรณีที่กลุ่ม ปตท. เตรียมถอนการลงทุนโรงงาน OEM ผลิต EV ที่ร่วมทุนกับ Faxconn นั้นมองว่า ปตท. น่าจะประเมินจากสถานการณ์ตลาดและความคุ้มค่าของการลงทุน เพราะเป็นการลงทุนมูลค่าสูง ซึ่งต้องยอมรับว่าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีการแข่งขันสูงมาก บวกกับกำลังซื้อที่เปราะบาง ทำให้บรรยากาศยอดจำหน่ายไม่สู้ดีนัก ที่สำคัญหากลงลึกไปถึงซัพพลายเชน ตลาดลิเธียมโลกซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตแบตเตอรี่ก็ร่วงแรงกว่า 80% หากดูตลาดขณะนี้จะพบว่าราคาลดลงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี 

 

ขณะเดียวกันภาพรวมผู้ผลิต EV รายอื่นๆ ที่จะมีการผลิตตามนโยบายการผลิตชดเชยการนำเข้า 1:1 (นำเข้า 1 คัน ต่อการชดเชยการผลิตในประเทศ 1 คัน) ภายในปี 2567 และอัตราส่วน 1:1.5 คันภายในปี 2568 ) นั้นก็ยังต้องติดตามว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ 

 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่างาน Motor Expo อีเวนต์รถยนต์ที่มีขึ้นปลายสัปดาห์นี้น่าจะได้รับการตอบรับที่ดี มียอดจองเยอะ แต่ยอดจองก็ไม่สำคัญเท่ากับยอดการปล่อยไฟแนนซ์ หากแบงก์คุมเข้มปล่อยสินเชื่อเช่นนี้ก็ไม่เป็นผล เช่นเดียวกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจจะมีการจัดแคมเปญลดราคาของหลายๆ แบรนด์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแบงก์ว่าจะมีการปล่อยไฟแนนซ์มากน้อยเพียงใดเช่นกัน

 

สุรพงษ์กล่าวอีกว่า ปีนี้อาจถือว่าไม่ใช่ปีของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เราลดเป้าลงเรื่อยๆ เพราะหากย้อนดู 6 เดือนแรกก็ยังเติบโตดี แต่ครึ่งปีหลังภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง หลายๆ ประเทศ อย่างเช่น ตะวันออกกลาง ก็ตึงเครียด รวมถึงเส้นทางทะเลแดงที่ยังคงมีปัญหา ต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ทำให้ช่วงเดือนที่แล้วทรุดทุกตลาด 

 

“สงครามความขัดแย้งของตะวันออกกลางยังต้องติดตามแบบไม่กะพริบตา เพราะจะกระทบเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่น ซึ่งกระทบต่อการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆ โดยมูลค่าการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 55,728.19 ล้านบาท ลดลงไปอีก 23.11%”

 

โดยจากนี้และปีหน้าคงต้องจับตานโยบายขึ้นภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจมีผลต่อการส่งออกรถยนต์ไปยังเม็กซิโกและสหรัฐฯ เนื่องจากไทยส่งออกไปที่สหรัฐฯ เป็นลำดับที่ 12 และส่งออกไปที่เม็กซิโกอยู่ในอันดับท็อป 10 

 

“หาก โดนัลด์ ทรัมป์ จะลดการขาดดุล ไทยก็เป็นเป้าหมายแน่นอน เพราะไทยส่งออกรถยนต์ไปที่เม็กซิโกค่อนข้างเยอะ รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ ยางธรรมชาติ และแผงโซลาร์ อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเร่งกระตุ้นเม็ดเงินลงทุน FDI จาก Data Center และเซมิคอนดักเตอร์ หากมีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve เหล่านี้มาลงทุนในไทย เราต้องดึงการลงทุนจากชาวอเมริกันในไทยให้มากขึ้น เพื่อรักษาดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ให้ดี” สุรพงษ์กล่าวย้ำ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X