สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในวันนี้ (24 ตุลาคม) เกี่ยวกับการลงนามใน ‘เอกสารคำประกาศระหว่างไทยและกัมพูชา กำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพร่วมกัน (Joint Declaration between Thailand and Cambodia on the outcomes of their meetings leading to peace)’ ระบุว่า การที่สหรัฐฯ และมาเลเซียจะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามนั้น ที่ผ่านมาไทยเน้นย้ำตลอดว่าประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา นั้นเป็นเรื่องที่ไทยกับกัมพูชาต้องคุยกันและหาข้อยุติ 2 ฝ่าย โดยคุยกันในประเด็นสำคัญ ทั้งเรื่องการลดกำลังทหาร การถอนอาวุธหนักจากชายแดน การกู้ทุ่นระเบิด และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก้ปัญหาการรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย ซึ่งไทยคุยกับกัมพูชามาตลอด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า “สหรัฐฯ และมาเลเซียเข้ามาในฐานะผู้หวังดี และอำนวยความสะดวก ซึ่งการโน้มน้าวให้กัมพูชามาคุยกับไทยก็เป็นเรื่องดี
“การเจรจาในกรอบ 4 ฝ่าย หัวใจคือ 2 ฝ่าย แต่ 4 ฝ่ายทำให้เกิดความคืบหน้า เราเจรจาตั้งแต่นิวยอร์ก และที่กัวลาลัมเปอร์ 2 รอบ ซึ่งล่าสุดถือว่าคืบหน้าไปได้ดี ซึ่งเราเชื่อว่าจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ การลงนามในกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สิ่งที่เราอยากเห็นต่อไปคือการปฏิบัติในพื้นที่ การถอนอาวุธหนัก”
“ทราบว่าวันที่ 25 ตุลาคม จะมีการประชุมของแม่ทัพภาค 4 ฝ่ายกัมพูชา กับแม่ทัพภาค 2 ของไทย เพื่อดูว่าการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักจะทำเมื่อไร และในวันที่ 25 ตุลาคม จะมีการลงพื้นที่ดำเนินการเลย” สีหศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ สีหศักดิ์กล่าวว่า สำหรับฝ่ายไทย การตกลงกันไม่ใช่เพียงแค่แผ่นกระดาษ โดยฝ่ายไทยต้องการเห็นการปฏิบัติ เพราะต้องการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เปิดหน้าใหม่ แต่การเปิดหน้าใหม่ ต้องตอบคำถามประชาชนคนไทยด้วย โดยคนไทยให้ความสำคัญต่อศักดิ์ศรีและการปกป้องอธิปไตยของไทย
“อยากยืนยันว่า การเจรจาของเรายึดหลักนี้ ถ้าเราสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ที่ไม่ทำให้สูญเสียอธิปไตย ปกป้องศักดิ์ศรีโดยที่ไม่ต้องใช้กำลังทางทหารน่าจะดีที่สุด และข้อตกลงที่มาด้วยการเจรจาทางการทูต น่าจะมีความยั่งยืนที่สุด ขณะนี้สิ่งที่เราได้ตกลงกันปรากฏในเอกสาร ผมยังไม่อยากเรียกว่าข้อตกลงสันติภาพ แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์และข้อตกลงต่างๆ แต่การจะเกิดสันติภาพคือการปฏิบัติตามเอกสารที่เราจะลงนาม”
สีหศักดิ์กล่าวด้วยว่า “การที่จะมีพิธีลงนามที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีสหรัฐฯ และมาเลเซีย ประธานอาเซียน และอาจจะมีประเทศอาเซียนอื่นร่วมเป็นสักขีพยานด้วย จะนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งทำฝ่ายเดียวไม่ได้ และจะต้องมีกัมพูชาด้วย”
ขณะที่เขายังแสดงความกังวลต่อท่าทีของกัมพูชาในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลง ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจผิด
“เรื่องที่เราเจรจา บางครั้งไม่ควรออกข่าวเยอะ เพราะเราเจรจากันอยู่ แต่จะเห็นว่าฝ่ายกัมพูชามักจะไปออกข่าว ซึ่งเราควรจะพูดในทางเดียวกัน ตรงนี้เป็นห่วง การที่เขาไปพูดฝ่ายเดียวทำให้เข้าใจผิด เราต้องมาชี้แจงท่าทีของเรา ทำให้ต้องชี้แจงกลับกันไปมา หวังว่าถ้าเราได้ลงนามในเอกสารคำประกาศจะได้เดินหน้าไปสู่การร่วมมือดำเนินมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวปลอม ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สิ่งที่ไทยอยากเห็นก่อนการลงนาม คือกัมพูชามีความเคลื่อนไหวในทางปฏิบัติอย่างไร อย่างการถอนอาวุธหนักในวันที่ 25 ตุลาคม ต้องเห็นการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมถึงการกู้ทุ่นระเบิด
“เราจะเริ่มดำเนินการแล้ว หวังว่าเขาให้ความร่วมมือกับเรา อย่างน้อยต้องกำหนดวันว่าวันไหนจะเริ่มอย่างไร เพราะประชาชนคนไทย ต้องการรับรู้สิ่งเหล่านี้ ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการต่างประเทศและทหาร พยายามให้ข้อมูลข่าวสาร การเกิดความเข้าใจผิดว่าเราไปตกลงอะไรไปแล้วประชาชนไม่รับรู้ เราจึงให้ความสำคัญเพราะ เรื่องนี้เกี่ยวกับอธิปไตย บูรณภาพดินแดน ประชาชนต้องรับรู้”
ขณะที่เขายืนยันว่าการลงนามในครั้งนี้ ไม่ใช่การลงนามข้อตกลงสันติภาพ แต่เป็นการลงนามในเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะแก้ปัญหาไปสู่สันติภาพ
“หลังการลงนามความร่วมมือของนายกรัฐมนตรี จึงต้องเห็นแนวทางปฏิบัติ อย่างน้อยจะเห็นว่าเราเดินมาในทางที่ถูกต้อง พยายามแก้ปัญหาหลักๆ มีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเมื่อเกิดการปฏิบัติ เราคงต้องมาดูการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างไร เพราะไทยกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันเราต้องอยู่ด้วยกัน”
เขากล่าวย้ำว่าไทยยืนยันที่จะคุยในกรอบทวิภาคีมาตลอด ในขณะที่กัมพูชาต้องการไปศาลโลก แต่ในระยะหลังท่าทีของกัมพูชาเปลี่ยนไปมาเน้นการเจรจาระดับทวิภาคี ซึ่งอาจเป็นผลที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท รวมถึงมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน
“ไทยยืนยันตาม 4 ข้อตกลงที่เสนอไป โดยจะมีการเสนอให้มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน จะทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่ามีการปฏิบัติ ทั้งการหยุดยิง ลดกำลังตามชายแดน การถอนอาวุธหนักไปที่ตั้งเดิม และจะมีคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียนมาติดตามโดยสมัครใจ”
ขณะที่สีหศักดิ์กล่าวว่า ถ้าผู้นำลงนามแล้ว แสดงว่าระดับผู้นำแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง และต้องเดินหน้าไปสู่การปฏิบัติ โดยตอนคุยกับฝ่ายสหรัฐฯ ในช่วงเริ่มต้นประสานงาน ฝ่ายไทยต้องการสันติภาพที่แท้จริงที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ


