×

มาริษเผย คุย รมว.ต่างประเทศ กัมพูชา เฝ้าระวังสแกมเมอร์ย้ายฐาน แต่ยังไม่ถกปมสร้างกำแพงกั้นชายแดน 2 ประเทศ ปัดเป็นคำสั่งนายกฯ

โดย THE STANDARD TEAM
09.03.2025
  • LOADING...
มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังเยือนกัมพูชาเรื่องการเฝ้าระวังสแกมเมอร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

วันนี้ (9 มีนาคม) มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา ครบรอบ 75 ปี ระหว่างวันที่ 7-9 มีนาคม ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ผ่านการจัดการแข่งขันกีฬาโดยดึงคนรุ่นใหม่ของทั้ง 2 ประเทศมาร่วมกิจกรรมกันประสบความสำเร็จ ทำให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกระดับ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงประชาชนด้วยกัน

 

มาริษ มองว่า การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีของไทย-กัมพูชาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ส่งผลต่อการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาในลุ่มน้ำโขง เช่น การเจรจาเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 และการปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ ซึ่งภาครัฐนำโดย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้นำของ 2 ประเทศมีการพูดคุยกันตลอดเวลา

 

ส่วนกรณีการแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา มาริษกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้พูดคุยกับ ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายกลุ่มที่ถูกปราบปรามจากเมียนมาย้ายมาในกัมพูชา ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

มาริษกล่าวย้ำว่า ขณะนี้ทางการไทยให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่ได้เป็นเพียงความร่วมมือระหว่างไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังมีกลุ่มที่มีอิทธิพลมาจากประเทศอื่นด้วย ซึ่งรัฐบาลต้องการจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

“เมื่อไหร่ก็ตามมีสัญญาณที่ชัดเจน เราก็มีความร่วมมือที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ได้พูดคุยกันไว้แล้วว่าจะทำอะไร หากมีความพยายามจะย้ายฐานการทำผิดกฎหมายไปประเทศอื่น” มาริษ กล่าว

 

ส่วนประเด็นพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมนั้น มาริตระบุว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันในทุกระดับ ทั้งของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ในการประชุมที่เวียดนามได้พูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ซึ่งเห็นตรงกันว่าควรพูดคุยกันในระดับพื้นที่

 

รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศไม่อยากเห็นการนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยในระดับประเทศ และเท่าที่ทราบก็ไม่เห็นว่าจะมีความขัดแย้งมากมายที่จะยกขึ้นมาถึงระดับที่รัฐบาลต้องพูดคุยกันสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรมร่วมกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ การพูดคุยกันในระดับประชาชนและท้องที่จึงดีที่สุด

 

มาริษ มองว่า ประเทศที่มีพรมแดนติดกัน มีความหลากหลายของประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น ซึ่งนโยบายสำคัญของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ทุกระดับของความสัมพันธ์ต้องทำไปด้วยกัน และมีทิศทางเดียวกัน

 

ส่วนกรณีหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะพยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ภายในพื้นที่ เพราะมีกลไกในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะระดับปฏิบัติการในพื้นที่ โดยไม่จำเป็นต้องการยกขึ้นมาในระดับประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

มาริษ ระบุว่า อยากเห็นการกระทบกระทั่งกันเพียงเล็กน้อย โดยอาศัยกลไกที่มี อาทิ ความร่วมมือตามแนวชายแดน ความร่วมมือทางการทหาร ซึ่งบางเรื่องไม่จำเป็นต้องยกขึ้นมาและทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต จนกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

“แม้จะเป็นเพื่อนกันก็มีการกระทบกระทั่งกันได้ แต่ทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดจากัน จากความร่วมมือที่เรามีระหว่างกัน” มาริษ กล่าว

 

ส่วนการสร้างกำแพงกั้นระหว่างชายแดนประเทศไทย-กัมพูชานั้น มาริษ ว่า เป็นความคิดของหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ได้เป็นคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งยังไม่เห็นว่ามีความสำคัญถึงขั้นต้องยกขึ้นพูดคุยกันในระดับประเทศ แต่ต้องปรึกษาหารือกันเรื่องของปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และงบประมาณที่ใช้มีความคุ้มค่าหรือไม่

 

มาริษ ยืนยันว่าทั้ง 2 ประเทศ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ ปัจจุบันเป็นเพียงการรับฟังแนวคิดของหน่วยงานในพื้นที่และประชาชน เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเขา โดยต้องปล่อยให้คนในพื้นที่ไปคิดกันว่าทางออกแบบใดที่เหมาะสม แล้วค่อยนำมาพูดคุยกันอีกที

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising