“ผลลัพธ์ในสงครามไม่เคยมีความแน่นอน”
Carl von Clausewitz
On War (Book 1)
“เมื่อไม่สามารถค้นพบเส้นทางลัดในการได้รับชัยชนะ ทางเลือกที่เหลืออยู่จึงมีไม่มากนักคือ การทำลายข้าศึกให้ประสบความสูญเสียอย่างหนักจนไม่อาจดำรงสภาพ [ในการรบ] ได้ แม้ [ในอีกด้านหนึ่ง] อาจจะต้องยอมรับถึงการสูญเสียอย่างหนักของฝ่ายเราเองด้วย”
Lawrence Freedman
นักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวถึงทางเลือกในยุทธศาสตร์ทหาร
การรบในช่วงที่ 2 ระหว่างไทยกับกัมพูชาเริ่มต้นอีกครั้งในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 อย่างคาดไม่ถึง และดำเนินสืบเนื่องต่อมา จนทำให้รัฐบาลจีนตัดสินใจเข้าแทรกแซงวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ เพราะหลังจากการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ที่นำไปสู่การเจรจาหยุดยิงครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาแล้ว ผลการหยุดยิงมีสภาวะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จนนำไปสู่การรบในครั้งที่ 2 ที่มีความรุนแรงมากกว่าครั้งแรกมาก
ในสภาวะที่ความรุนแรงของการใช้กำลังมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้น หลายฝ่ายได้เรียกร้องให้รัฐคู่พิพาทหยุดยิง และหันกลับสู่โต๊ะเจรจา แต่ดูเหมือนข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ จึงทำให้รัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจที่จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้
ดังนั้น บทความนี้จะทดลองตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาและแนวโน้มของสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่จะเกิดในอนาคต โดยมีเรื่องที่น่าสนใจอย่างน้อยใน 6 ประเด็นหลัก ดังต่อไปนี้
(1) ข้อพิจารณาเบื้องต้น
- หากย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ก่อนการสู้รบจะเกิดขึ้นในช่วงที่ 2 นั้น แม้จะมีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนค้างคากันอยู่ แต่ก็ต้องถือว่า มีแนวโน้มที่ดีหลังจากการเจรจาหยุดยิงเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และทั้ง 2 ฝ่ายมีความตกลงที่จะมีการดำเนินการในระดับของฝ่ายเทคนิค (JBC) อันทำให้มีความคาดหวังอย่างมากว่า สถานการณ์น่าจะมีทิศทางไปในทางบวกในการจัดการเรื่องเส้นเขตแดน และคาดว่าในที่สุดในช่วงหลังปีใหม่ 2569 แล้ว คณะ JBC ก็น่าจะเริ่มทำการสำรวจใหม่เพื่อกำหนดทิศทางในการแก้ปัญหาจุดที่เป็นปัญหาข้อพิพาทที่ชัดเจน เช่น กรณีบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ตลอดรวมถึงจุดอื่นๆ ที่มีข้อพิพาท แต่ดังที่กล่าวอย่างนึกไม่ถึงว่า สงครามชายแดนไทย-กัมพูชาหวนกลับมาเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 จนทำให้ความหวังที่จะใช้ฝ่ายเทคนิคในการแก้ปัญหาในเบื้องต้นนั้น เป็นอันต้องยุติลงด้วยสถานการณ์การสู้รบดังกล่าว
- การรบในบริบทของสงครามชายแดนนั้น ทำให้ปัญหา 5 เรื่องมีอาการค้างคาในตัวเอง และยังไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขได้ เพราะเป็นประเด็นที่ไม่มีใครต้องการถกอย่างจริงจัง คือ (1) ปัญหาเปิดด่านชายแดน (2) ปัญหาการค้าชายแดน (3) ปัญหาสินค้าผ่านแดน (4) ปัญหาตลาดสินค้าไทยในกัมพูชา (5) ปัญหาการกลับคืนของแรงงานกัมพูชา และไม่มีแนวโน้มว่า ปัญหาทั้ง 5 ประการนี้จะคลี่คลายไปอย่างไรในอนาคต เนื่องจากปัญหาทั้ง 5 นี้ ถูกนำไปผูกโยงเข้ากับการขับเคลื่อนของกระแสชาตินิยม เช่น การนำเสนอวาทกรรมของกลุ่มขวาจัดว่า “เปิดด่าน=ขายชาติ” อันทำให้หลายฝ่ายไม่กล้าหยิบประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาเป็นข้อถกแถลงเชิงนโยบายด้วยความกลัวที่จะเป็น “คนขายชาติ” ตามการกล่าวหาของปีกขวาสุดโต่ง ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านี้เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศไทยโดยตรง เพราะการสูญเสียมูลค่าเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา และตลาดภายในกัมพูชา จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยเองในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับปีกชาตินิยมสุดโต่งแล้ว การยุติใน 5 เรื่องนี้คือ การกดดันกัมพูชาในทางเศรษฐกิจ และเชื่อว่า ต้องกดดันอย่างสุดทาง จนไม่ตระหนักว่า การกดดันเช่นนั้น ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในทางกลับกันด้วย อันเป็นผลของ “การพึ่งพาทางเศรษฐกิจ” (economic interdependence) ของประเทศทั้งสอง
- ผลพวงของการสู้รบไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึง 2 ครั้งเช่นนี้ จะมี “คน 2 คน” ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันทีอย่างแน่นอน คือ “Mr. MoU 43” และ “Mr. MoU 44” และข้อถกเถียงในเรื่องนี้ อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการทำประชามติให้เสียเวลาและงบประมาณแต่อย่างใด แต่รัฐบาลสามารถออกใบมรณบัตรให้แก่ “นาย 43” และ “นาย 44” ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลุกกระแส “ชาตินิยม-เสนานิยม” ทำให้เกิดกระแสต่อต้านบันทึกกรอบความตกลงเรื่องไทย-กัมพูชา เพราะมีทัศนคติว่า บันทึกเหล่านี้เป็นประโยชน์กับกัมพูชาฝ่ายเดียวเท่านั้น อีกทั้ง ไม่เชื่อและไม่ยอมรับว่า บันทึกนี้เป็นกรอบการเจรจาที่จะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศทั้งสอง ที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทยเองในอนาคตด้วย
(2) แนวทางแก้ปัญหา
- แนวทางการแก้ปัญหาตามความคิดด้านต่างประเทศแบบดั้งเดิมของไทย คือ แก้ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกทวิภาคี (Bi-lateralism) ซึ่งในภาวะปัจจุบัน อาจไม่เป็นจริงแต่อย่างใด เพราะสถานการณ์มีความเกี่ยวพันกับรัฐภายนอก และปัญหามีความเป็นพหุภาคีมากขึ้น (Multi-lateralism) เรื่อยๆ และปัจจัยระหว่างประเทศในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ อาจเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นด้วย จะมองแบบแยกส่วนว่า สงครามไทย-กัมพูชาเป็นความขัดแย้งโดดๆ ที่ไม่มีนัยกับการแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่ ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างก็มีผลประโยชน์อยู่กับไทยและกัมพูชา และไม่ต้องการที่จะให้ปัญหาสงครามชุดนี้ขยายตัวเกินความจำเป็น
- เราอาจต้องทำความเข้าใจในอีกส่วนหนึ่งว่า ไม่มีรัฐใดทั้งในและนอกภูมิภาคต้องการเห็นภูมิภาคนี้ประสบกับความไร้เสถียรภาพมากเกินความจำเป็น อันจะส่งผลให้สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกขยายเข้าสู่ภูมิภาคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็น “จุดเปราะบาง” ของการเมืองโลกในยุคปัจจุบัน ดังนั้น ผลของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นการเข้ามาของรัฐมหาอำนาจภายนอก ดังจะเห็นได้ว่า การเจรจาหยุดยิงครั้งที่ 1 เป็นผลจากแรงกดดันของสหรัฐฯ และการหยุดยิงครั้งที่ 2 เป็นผลจากการเข้ามามีบทบาทของจีน อีกทั้งปฏิเสธถึงบทบาทของอาเซียนในฐานะของการเป็นองค์กรในภูมิภาคที่จะต้องเข้ามามีบทบาทในการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกไม่ได้ ดังนั้น ผลจากสภาวะของตัวแสดงอื่นที่เข้ามามีบทบาทเช่นนี้ จึงบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็น “พหุภาคี” ในตัวเอง แม้การเจรจา GBC ครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม 2568 จะเป็นแบบ “ทวิภาคี” ตามใจฝ่ายไทย แต่การหยุดยิงที่แท้จริงมาจากการประชุมแบบ “3 ฝ่าย” คือ จีน-ไทย-กัมพูชาในเวทีที่ยูนนาน ซึ่งไม่มีความเป็นทวิภาคีแต่อย่างใด เพราะปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในโลกสมัยใหม่ไม่มีทางเป็นทวิภาคีอย่างแน่นอน
- แนวความคิดอีกชุดที่เราเชื่ออย่างมากคือ การใช้พลังอำนาจทางทหารของไทย จะเป็นมาตรการในการเอาชนะกัมพูชาได้ทั้งหมดนั้น เนื่องจากกัมพูชาไม่มีอำนาจกำลังรบมากนัก แต่การจะทำลายกองทัพกัมพูชาให้ได้ทั้งหมดเช่นในทฤษฎีของ “สงครามเบ็ดเสร็จ” (Total War) นั้น ไม่น่าจะเป็นจริงได้ในปัจจุบัน เพราะกัมพูชาเองก็มีพัฒนาการทางทหารในระดับหนึ่ง ไม่ใช่กัมพูชาในอดีตของยุคสงครามในปี 2554 ความคิดแบบสุดโต่งที่เชื่อว่า กองทัพไทยมีศักยภาพสูงกว่าอย่างมากทางด้านยุทโธปกรณ์ จนสามารถทำลายอำนาจทางทหารของกัมพูชาได้ทั้งหมดนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง และมหาอำนาจที่เป็นชาติพันธมิตรของกัมพูชาเอง ก็อาจจะไม่อนุญาตให้ไทยทำเช่นนั้น และด้วยแนวคิดเช่นนี้ ไทยอาจถูกมองว่าเป็น “รัฐผู้รุกราน” ที่ต้องการใช้อำนาจทางทหารในการทำลายรัฐคู่พิพาทแบบเบ็ดเสร็จ อันอาจนำไปสู่การแทรกแซงของปัจจัยภายนอก รวมถึงบทบาทของสหประชาชาติด้วย
- ต้องทำความเข้าใจว่า ต่อให้กัมพูชารบแพ้ ก็อาจไม่มีนัยว่า กัมพูชาต้องยอมแพ้ไทย (การรบแพ้เป็นคนละเรื่องกับการยอมแพ้ในทางยุทธศาสตร์) และผู้นำทั้งทหารและพลเรือนไทยอาจต้องตระหนักว่า ไทยไม่ได้มีสถานะแบบรัสเซีย หรือแบบอิสราเอล ที่จะใช้กำลังได้ตามใจชอบ จนสามารถทำให้กองทัพกัมพูชา “สิ้นสภาพ” ไปตามที่นายกฯ และผู้นำทหารไทยประกาศ ความคาดหวังเช่นนี้ อาจจะไม่เป็นจริง แม้จะช่วยปลุก “กระแสชาตินิยม” ในบ้านเพื่อรองรับต่อสถานะทางการเมืองของตัวนายกรัฐมนตรีและกองทัพ แต่อาจไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่กัมพูชาจะเป็นฝ่ายประกาศยอมแพ้
- ในเบื้องต้นอาจต้องทำความเข้าใจว่า กัมพูชาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายขอหยุดยิงตามที่สื่อและคนในสังคมไทยเข้าใจ แต่กลับเป็นฝ่ายเสนอให้มีการหยุดยิงร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การเจรจาแบบทวิภาคีในระดับ GBC ดังนั้น ชุดความคิดที่มักมองรัฐคู่พิพาทแบบด้านเดียว โดยไม่เห็นพลวัตของสภาพแวดล้อมทางการเมืองและทางยุทธศาสตร์นั้น จึงไม่ต่างจากการสร้างจินตนาการแบบ “ฝ่ายเดียว” ในเวทีสงคราม อาจจะในอีกด้านนั้น ทัศนะเช่นนี้มาจากการ “ดูแคลนข้าศึก” มองเห็นข้าศึกเป็นเพียงเป้านิ่งในทางทหาร และเมื่อถูกกระทำทางทหารแล้ว ผู้นำเขาจะต้องร้องขอการหยุดยิง หรือยอมยุติการรบเช่นในปี 2554 จินตนาการเช่นนี้ล้วนเป็นการ “หลอกตัวเอง” ในทางยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น
(3) อำนาจทางยุทธศาสตร์ของไทย
- ถ้าเราไม่สามารถบังคับกัมพูชาให้ยอมแพ้เราหมด แม้จะมีการใช้กำลังอย่างมาก ดังจะเห็นชัดว่า ฝ่ายไทยมีการใช้กำลังอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการใช้กำลังทางอากาศ แต่ก็ไม่สามารถกดดันกัมพูชาให้ปฏิบัติตามความต้องการของไทยได้ทั้งหมด เช่นนี้แล้ว เราจะต้องตอบให้ได้ว่า อะไรคือ “วัตถุประสงค์ของการใช้กำลัง” หรืออะไรคือ “ผลตอบแทนทางยุทธศาสตร์” จากนโยบายของการใช้กำลังดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐบาลจะต้องเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ในการใช้กำลัง ดังนั้น ในทางทฤษฎี รัฐบาลจะต้องเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์ทางการเมืองของสงครามในครั้งนี้ให้ชัดเจนเช่นกันด้วย อย่างน้อยเพื่อตอบสังคมไทยและสังคมโลกว่า การปฏิบัติการทางทหารของไทยนั้น ต้องการอะไรที่แท้จริง และไม่ใช่คำตอบว่า ใช้กำลังทหารเพื่อทำลายศักยภาพทางทหารของกัมพูชาให้หมดไป เพราะวัตถุประสงค์นี้ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ
- การจะเอาชนะกัมพูชาให้ได้ อาจต้องตอบให้ได้ว่า อะไรคือ “อำนาจบังคับ” (coercive power) ที่ไทยมี เพื่อใช้กดดันกัมพูชาให้ยอมเราได้อย่างแท้จริง แต่ปัญหาคือ แล้วเรามีอำนาจบังคับนี้จริงหรือไม่ ถ้าเราตอบปัญหาข้อนี้ไม่ได้ การจะเอาชนะกัมพูชาให้ได้ทั้งหมด อาจจะไม่สามารถบรรลุผลที่เป็นจริง (ปัญหาข้อนี้ ทำให้ต้องคิดโยงกับเรื่องในข้อ 6, 7 และ 8 ในประเด็นของการใช้กำลังทหาร) ที่ต้องเปิดประเด็นเช่นนี้ เพราะไม่ชัดเจนว่า วันนี้อะไรคือ “อำนาจบังคับ” ที่เหนือกว่าของฝ่ายไทย ที่จะทำให้ฝ่ายกัมพูชาต้องยอมเรา หรือว่า อำนาจบังคับของไทยในบริบทของความขัดแย้งชุดนี้ในปัจจุบัน เป็นอำนาจที่ไม่มีนัยทางยุทธศาสตร์ ที่เมื่อใช้แล้ว ไม่สามารถทำให้กัมพูชาต้อง “ยอมตาม” ความต้องการของไทย ดังจะเห็นชัดว่า กัมพูชาวันนี้ ทานการกดดันของไทยได้ทุกรูปแบบ
- หากสำรวจ 5 เครื่องมือหลัก ได้แก่ เครื่องมือทางการเมือง การทูต การเศรษฐกิจ/การค้า การทหาร และด้านข่าวสารนั้น เราจะพบว่า เรามีอำนาจที่เป็นเครื่องมือซึ่งจะสามารถใช้กดดันกัมพูชาได้มากที่สุดคือ เครื่องมือทางทหาร แต่สำหรับการใช้เครื่องมือในส่วนอื่นๆ นั้น กัมพูชาสามารถใช้ตอบโต้กับเราได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเวทีทางการเมือง การทูต และเวทีข่าวสารในการเมืองโลก ส่วนเครื่องมือทางเศรษฐกิจของไทย ก็ไม่สามารถใช้ได้จริงในกรณีนี้ (เครื่องมือทางเศรษฐกิจดูเพิ่มเติมในข้อ 2) สภาวะเช่นนี้ ชวนให้ผู้นำไทยอาจต้องคิดมากขึ้น เพราะหากเครื่องมือต่างๆ มีความจำกัดในการส่งผลต่อการกดดันกัมพูชาแล้ว ไทยจะดำรงความเป็น “ฝ่ายเหนือกว่า” กัมพูชาในมิติทางยุทธศาสตร์ได้อย่างไร เพราะ “อำนาจ” ของรัฐในเวทีระหว่างประเทศมีส่วนต่อเชื่อมโดยตรงต่อขีดความสามารถของผู้นำประเทศในการประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อให้รัฐตนเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวทีสากล เนื่องจากอำนาจไม่ได้มีสภาวะเป็น “สิ่งสมบูรณ์” ในตัวเอง (absolute) แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำและกลไกรัฐที่จะเป็นผู้ใช้เครื่องมือแห่งอำนาจนั้น
(4) ความคาดหวังในเวทีโลก
- เราคาดหวังว่า โลกจะเห็นไปในทางเดียวกับเรา แต่จากการพาดหัวข่าวของสื่อใหญ่ในเวทีโลก อาจจะต้องยอมรับว่า ภาพที่ออกมาในเวทีสากลคือ ภาพของการใช้กำลังทางอากาศของไทยในการโจมตีกัมพูชา และภาพข่าวสงครามที่ออกในเวทีโลกนั้น เวทีสากลอาจจะไม่ได้คิดไปในทิศทางที่เป็นบวกกับไทย หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เวทีโลกมีมุมมองที่แตกต่างจากความเชื่อและคำอธิบายของฝ่ายไทย อีกทั้งเห็นชัดถึงการเคลื่อนไหวและการโฆษณาทางการเมืองที่กัมพูชาขับเคลื่อนในเวทีสากล จนอาจต้องสรุปว่า ไทยตกเป็น “ฝ่ายรับ” ในเวทีระหว่างประเทศ และสังคมโลกไม่ได้มองไทยในทางบวกเท่าใดนัก ยกเว้นเราเชียร์กันเองในบ้าน จนลืมไปว่า โลกอาจไม่ได้คิดแบบที่เราคิดจากมิติภายใน
- เราดูจะมั่นใจอย่างมากว่า กัมพูชาเพลี่ยงพล้ำอย่างมากในเวทีการประชุมความตกลงออตตาวา แม้เวทีเช่นนี้ อาจเปิดโอกาสให้ไทยได้สื่อสารมากกว่าทุกครั้ง แต่อาจไม่สามารถตัดสินได้จริง และอาจใช้เวลาในการพิสูจน์ข้อร้องเรียนของฝ่ายไทย เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาเองได้โต้แย้งฝ่ายไทยด้วย หรือถ้าสามารถตัดสินได้จริง ก็อาจไม่มีผลบังคับในทางกฎหมาย ดังนั้น การต่อสู้ในเวทีการประชุมออตตาวา ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากจนถือว่าเป็นความเพลี่ยงพล้ำที่สำคัญของฝ่ายกัมพูชา จนถึงขนาดผลักดันให้ผู้นำกัมพูชาต้องยอมฝ่ายไทย เวทีเช่นนี้เองก็มีบริบทระหว่างประเทศเป็นองค์ประกอบสำคัญ (ดังเช่นที่กล่าวในข้อ 12)
- เวทีที่น่ากังวลสำหรับไทยคือ เวทีการประชุมสมัชชาความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) นั้น อาจกลายเป็นช่องทางให้กัมพูชาฟ้องเวทีโลก อันเป็นผลของการสู้รบและการใช้กำลังที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องดูในอนาคตว่า กัมพูชาจะเดินต่ออย่างไรในเวทีสากล หรือจะมุ่งไปศาลโลกทางเดียวอย่างที่หลายฝ่ายในไทยคาดคิด แต่การใช้เวทีสหประชาชาติของกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศไทยควรต้องพิจารณาอย่างใส่ใจ จะเชื่อว่า ไทยได้เปรียบทางทหารแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับปัจจัยในเวทีระหว่างประเทศนั้น อาจกลายเป็นความเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองอีกแบบ นอกจากนี้ ยังเห็นชัดว่า ไทยในสถานการณ์กัมพูชาดูจะมีพันธมิตรในเวทีสากลน้อยลง จนดูเหมือนชาติต่างๆ ที่พร้อมจะให้การสนับสนุนทางการเมืองในแบบ “moral support” กับไทยนั้น มีน้อย หรืออาจกล่าวได้ว่า พันธมิตรของไทยในเวทีระหว่างประเทศไม่ได้มีความเข้มแข็งในแบบยุคสงครามเย็นแต่อย่างใด
(5) การกำหนดท่าทีของไทย
- ผู้นำไทยจะต้องไม่แสดงท่าทีในแบบตัดเยื่อใยกับทั้งสหรัฐฯ และอาเซียน เพราะไทยในภาวะปัจจุบันนั้น ไม่สามารถดำเนินนโยบายด้วยทิศทางในแบบ “ปฎิเสธโลก” หรือที่เรียกว่า “นโยบายออกจากจอเรดาร์” เช่นในยุคหลังรัฐประหารได้อีกแต่อย่างใด และทั้งในช่วงที่ผ่านมา ไม่ควรประกาศยุติการเจรจากับกัมพูชา เพราะจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ทางการเมืองของไทย ไม่สะท้อนให้เห็นความต้องการในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง หรือกลายเป็นภาพสะท้อนกลับที่เน้นถึงแต่การใช้กำลัง ซึ่งไม่น่าเป็นผลบวกแก่ฝ่ายไทย
- นายกฯ ไทยจะประกาศว่า รัฐบาลไทยไม่แคร์กับเรื่องภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ เพราะตลาดสินค้าไทยในสหรัฐฯ มีความสำคัญ ผู้นำไทยยังต้องมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้ การเสียตลาดอเมริกันจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ในตัวเอง และโดยข้อมูลแล้ว ปรากฏอย่างชัดเจนว่า ตลาดสินค้าไทยไม่ได้อยู่กับจีน แม้จีนอาจให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ไทยเป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่การยอม “เปิดตลาด” เพื่อให้ไทยเป็นฝ่ายที่ได้ดุลการค้ากับจีน การเลือกทิศทางนโยบายต่างประเทศแบบที่ใกล้ชิดกับรัฐที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้า และตัดสินใจถอยห่างออกจากรัฐที่เป็นตลาดและเป็นแหล่งของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย ย่อมจะทำให้ประเทศต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างแน่นอน อีกทั้งมีรายงานว่า จนปัจจุบัน (ถึงสิ้นปี 2568) ยังไม่มีทีท่าที่ไทยจะมีโอกาสได้เปิดช่องทางการพูดคุยกับคณะผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ (USTR) รัฐบาลไทยยังติด “กับดักของลัทธิชาตินิยม” ในปัญหากัมพูชา เท่าๆ กับที่ติด “กับดักกระแสต่อต้านกัมพูชา” ที่ถูกประกอบสร้างขึ้น จนเสมือนว่า รัฐบาลไทยจะไม่สนใจ หรือยอมทิ้งปัญหา “ภาษีทรัมป์” เพื่อที่จะได้รบกับกัมพูชาตามกระแสชาตินิยม-เสนานิยมต่อไป แต่ในอีกด้าน นโยบายเช่นนี้อาจได้รับ “เสียงตอบรับ” กับการเมืองภายในของไทย ที่การเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
- ผู้นำไทยอาจต้องตระหนักว่า การเล่นกับ “กระแสชาตินิยม-กระแสเสนานิยม” มีความเสี่ยง เพราะกระแสเช่นนี้เป็น “ผลประโยชน์แห่งชาติระยะสั้น” และไม่ยั่งยืน อีกทั้ง กระแสเช่นนี้ไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ที่แท้จริง แม้อาจช่วยแก้วิกฤตการเมืองเฉพาะหน้าของรัฐบาลได้บ้างในฐานะของการเป็น “เสียงสนับสนุน” ทางการเมือง แต่ผลตอบแทนเช่นนี้ อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้ง 2 ประเทศต้องอยู่ด้วยกันบนที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์แห่งนี้ และไม่มีใครหนีจากใครได้ในทางภูมิศาสตร์ อันมีนัยว่า สุดท้ายแล้ว ข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างรัฐเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนั้น ผู้ชี้ขาดอาจเป็น “เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค” ของทั้ง 2 ประเทศ ที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อทำให้ข้อพิพาทนั้น ยุติลงด้วยความ “ชัดเจนและเป็นธรรม” เพราะความชัดเจนและเป็นธรรมในการจัดทำเส้นเขตแดนเท่านั้น ที่จะช่วยลดความขัดแย้งของรัฐคู่พิพาทลง ภายใต้หลักการ “win-win solution” เพราะปัญหาเส้นเขตแดนจะต้องไม่แก้ด้วยหลักการ “ผู้ชนะได้หมด” (the winner takes all) ซึ่งผลในลักษณะเช่นนี้คือ เงื่อนไขของสงครามชายแดนในอนาคตนั่นเอง
- ผู้นำไทยทั้งพลเรือนและทหาร อาจต้องตระหนักเสมอว่า ไทยไม่ใช่รัฐมหาอำนาจใหญ่ที่จะสามารถใช้กำลังทหารได้ โดยไม่ต้องกังวลกับผลกระทบในเวทีระหว่างประเทศ เช่นในแบบที่รัสเซียเปิดการโจมตีและทำสงครามกับยูเครนอย่างต่อเนื่อง หรือการดำเนินการกดดันทางทหารของจีนต่อไต้หวัน หรือในอีกมุมหนึ่ง ไทยไม่มีสถานะในแบบอิสราเอล ที่สามารถเปิดปฏิบัติการทางทหารในกาซ่าได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และมีรัฐมหาอำนาจให้การสนับสนุนเต็มที่ หากแต่ไทยมีความจำเป็นที่จะต้องดำรงสถานะและความสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศไว้ต่อไป การสูญเสียสถานะเช่นนั้น อาจไม่เป็นผลประโยชน์ต่อความเป็นไปทั้งทางการเมืองและการทูตของไทยในอนาคต ความพยายามทั้งคำพูดและการกระทำว่า ไทยเป็น “มหาอำนาจทางทหาร” ในระดับภูมิภาค และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางทหารอย่างไม่มีข้อจำกัดนั้น ไม่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในเวทีสากลแต่อย่างใด เพราะกัมพูชาสามารถใช้โอกาสนี้ “สร้างภาพเชิงซ้อน” จากการแสดงอำนาจทางทหารว่า ไทยใช้อำนาจทางทหารรุกรานกัมพูชา
(6) อนาคตที่เปราะบางและสันติภาพที่ไม่แน่นอน
- สถานการณ์ชายแดนที่อาจยุติลงด้วยการหยุดยิงครั้งที่ 2 จากเวทีการประชุมภายใต้การนำของจีน ภาวะเช่นนี้ทำให้มีคำถามในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ไทยยอมรับเงื่อนไขการเป็นคนกลางของจีน มากกว่าของสหรัฐฯ ใช่หรือไม่ และเสียงวิจารณ์การแทรกแซงของรัฐมหาอำนาจของจีนในครั้งนี้ แทบไม่เป็นประเด็นเท่ากับเมื่อครั้งผู้นำสหรัฐฯ จัดการให้มีการหยุดยิงในครั้งแรก หรือการประชุมที่ยูนนานคือ สัญญาณทางการเมืองว่า “ไทยอยู่กับจีน” ซึ่งเป็นทิศทางของนโยบายต่างประเทศไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2557 แม้รัฐบาลพลเรือนของพรรคเพื่อไทยเข้ามา ก็ไม่ได้เปลี่ยนทิศทางเช่นนี้ และสืบเนื่องมาในยุครัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ในปัจจุบัน ทิศทางเดิมจึงถูกตอกย้ำอีกครั้ง จนหลายฝ่ายเชื่อว่า “ปัจจัยจีน” (China Factor) จะมีบทบาทมากขึ้นในนโยบายต่างประเทศไทย เช่นที่เราเห็นมาแล้วถึงการลดลงของ “ปัจจัยอเมริกัน” (American Factor) ในนโยบายไทยนับจากการรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา และทั้งยังสอดรับกับ “กระแสขวาจัด” ในการเมืองไทย ที่มีทิศทางแบบ “นิยมจีน-ต่อต้านฝรั่ง” มากขึ้นด้วย
- ปัญหา “กระแสชาตินิยม+กระแสเสนานิยม” ที่ขยับตัวเป็น “กระแสสูง” ในสังคมไทย และอาจเป็นเช่นเดียวกันในสังคมกัมพูชานั้น จะขยับให้เป็น “กระแสต่ำ” ลงได้อย่างไร และสำหรับในบริบทการเมืองไทยที่กำลังมีการเลือกตั้งนั้น ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชาน่าจะเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียง และทุกพรรคและทุกสีน่าจะ “เกาะกระแสชาตินิยม” โดยชูเรื่องนี้เพื่อหาคะแนนเสียงไม่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่า “Mr. MoU” ทั้ง 2 คนตายแบบไม่มีโอกาสได้โต้แย้งเลย และทั้งพื้นที่การเลือกตั้งตามแนวชายแดน จะเทเสียงให้กับนโยบายแบบชาตินิยมของรัฐบาลอย่างแน่นอน
- ในภาวะความขัดแย้งที่ยังเป็นปัญหา และยังไม่ยุติลงอย่างชัดเจนนั้น นักการเมืองไทยทั้งหลายจะกลายเป็น “นักชาตินิยม” และพวกเขาหลายคนจะเปลี่ยนเป็น “ชาวเกาะ (กระแส)” กันไปหมด … น่าจะต้องถึงเวลาที่จะชวนนักการเมืองและผู้คนในสังคม โดยเฉพาะสื่อให้กลับจากเที่ยวทะเล เลิกเป็น “ชาวเกาะ” เสียที เพื่อที่จะเป็นโอกาสที่จะต้องคิดถึงอนาคตของการหาทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของรัฐเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งยังจะเป็นโอกาสที่ต้องชวนคิดเรื่องของความสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน มากกว่าคิดเพียงแค่กรอบในเรื่องของ “ยุทธศาสตร์ทหาร” ซึ่งวันนี้ ให้คำตอบอย่างชัดเจนว่า การมีอำนาจทางทหารอย่างมากของไทย ไม่เป็นเงื่อนไขในตัวเองที่จะก่อให้เกิดความได้เปรียบและชัยชนะเหนือกัมพูชา
ข้อคิดท้ายบท
บทความอยากจะขอปิดท้ายด้วยคำของศาสตราจารย์ฟรีดแมน นักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่กล่าวว่า “การบริหารจัดการวิกฤตที่ดี ต้องการยุทธศาสตร์ที่ดี” กล่าวคือ เมื่อวิกฤตการณ์เดิมทำท่ามีระยะเวลาทอดนานออกไป รัฐจำเป็นต้องคิดค้นยุทธศาสตร์ใหม่ ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในกรณีของยูเครน
แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ แล้วรัฐไทยมี “ยุทธศาสตร์ที่ดี” แล้วหรือยัง หรือว่าเราในวันนี้มีเพียง “กระแส” และคาดหวังว่า การเล่นกับกระแสเช่นนี้จะกลายเป็น “ยุทธศาสตร์ที่ดี” ที่ทำให้เราสามารถจัดการกับวิกฤตได้ และให้ผลตอบแทนในแบบที่เราหวังอย่างที่เรา “ฝัน … ฝัน … ฝัน” ไว้!
ภาพ: xbrchx via ShutterStock


