วันนี้ (4 มิถุนายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องจากเหตุปะทะของเจ้าหน้าที่ทหารของทั้ง 2 ประเทศเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากมีข้อกำชับเรื่องการดูแลความปลอดภัยของประชาชนแล้ว
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีข้อสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีที่ตั้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมทรัพยากรและกำลังเจ้าหน้าที่สำหรับการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง สนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเต็มกำลัง ในกรณีความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น
สำหรับการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง เป็นภารกิจของกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความพร้อมหลังแนวรบ สนับสนุน อำนวยความสะดวกต่อการปฏิบัติของฝ่ายทหาร การระงับและบรรเทาภัยเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่ซึ่งมีความไม่สงบ หรือเมื่อมีสถานการณ์สู้รบ
ไตรศุลีกล่าวว่า อนุทินเน้นย้ำกับทุกส่วนงานในทุกระดับของกระทรวงมหาดไทย ให้ใช้กลไกต่างๆ ที่มีอยู่สนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ขณะนี้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้งอย่างเข้มแข็ง ซึ่งล่าสุดในส่วนของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปะทะของกำลังทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดประชุมร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังเพิ่มเติมแล้ว
“ในสถานการณ์ปกติ กระทรวงมหาดไทยมีภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยภายใน แต่ในภาวะไม่ปกติก็มีบทบาทหน้าที่เป็นกำลังหนุนเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ส่วนหน้า อนุทินเน้นย้ำกับผู้บริหารกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดว่า เวลานี้กลไกของมหาดไทยทุกระดับต้องให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ไม่ให้ใครมาย่ำยีศักดิ์ศรีคนไทย ยืนเคียงข้างเจ้าหน้าที่ทหารรักษาอธิปไตยไทยอย่างเต็มกำลัง ดูแลไม่ยอมเสียดินแดนให้ใครแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” ไตรศุลีกล่าว
ไตรศุลีกล่าวว่า เร็วๆ นี้ ภายหลังกลับจากการร่วมประชุมระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส อนุทินพร้อมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยจะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจะมีการประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีที่ตั้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อติดตามประเด็นด้านความมั่นคง การดูแลความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน และจะเป็นโอกาสในการติดตามสถานการณ์ในภาพรวม และให้การสนับสนุนในประเด็นที่ผู้บริหารในพื้นที่ร้องขอเพื่อไปสู่การช่วยเหลือ และดูแลประชาชนต่อไปด้วย