×

ย้อนเหตุการณ์ความขัดแย้ง ชายแดนไทย – กัมพูชา จากปี 2554 ถึง 2568

โดย THE STANDARD TEAM
29.07.2025
  • LOADING...
ชายแดนไทย-กัมพูชา

บริเวณชายแดนของประเทศไทยและกัมพูชา มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งในปี 2568 โดยทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทเกี่ยวกับอาณาเขต จนกระทั่งทำให้เกิดการปะทะ ซึ่งหนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่พื้นที่พรมแดนระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นสมรภูมิรบ ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันต่อประชาคมโลกว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มรุกรานด้วยการยิงก่อน 

 

เหตุการณ์ล่าสุดนี้ สะท้อนถึงความขัดแย้งที่ไม่เคยจบลงจริงๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยที่ผ่านมาก็เกิดข้อพิพาทกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเคยนำไปสู่เหตุปะทะอย่างรุนแรงเมื่อปี 2554 ในสมัยรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ จนต้องมีการร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น และนำไปสู่คำตัดสินของศาลโลก

 

แม้จะมีคำพิพากษา มีการเจรจา มีการประชุมระดับผู้นำ และหยิบยกหลักการของสมาคมอาเซียนมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้อพิพาทนี้กลับยังไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง 

 

ในบทความนี้ จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปสำรวจจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่สะท้อนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ถึงปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดน และเปรียบเทียบความแตกต่างของช่วงสองปี ว่าเหตุการณ์มีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรบ้าง

 

เท้าความประวัติศาสตร์ คำตัดสินศาลโลก คดีปราสาทเขาพระวิหาร

ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ในกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เริ่มต้นขึ้นจากความแตกต่างในการตีความเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะเมื่ออ้างอิงถึงแผนที่ที่เรียกว่า แผนที่ภาคผนวกหมายเลข 1 (Annex I Map) ซึ่งเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในปี 2450 หลังจากที่สยาม ได้ทำข้อตกลงกับฝรั่งเศสเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างกัน

 

แผนที่ฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ทั้งที่ตามหลักภูมิศาสตร์แล้ว เส้นเขตแดนควรจะอยู่ตามแนวสันปันน้ำ หรือเส้นสันภูเขาที่เป็นทางแยกน้ำไหล ซึ่งหากใช้หลักการนี้ ปราสาทจะอยู่ในฝั่งไทย

 

ฝ่ายไทยยืนยันว่าแผนที่ภาคผนวกหมายเลข 1 นี้ ไม่เคยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลสยามในขณะนั้น และมองว่าเป็นเพียง เอกสารอ้างอิง ไม่ใช่ข้อตกลงที่ผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้แต่ต้น

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2502 กัมพูชาได้นำกรณีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก โดยใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าปราสาทเขาพระวิหารควรอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา ซึ่งแผนที่ดังกล่าวกระทบต่ออธิปไตยของไทย

 

ศาลโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้แผนที่อาจมีข้อโต้แย้ง แต่สิ่งสำคัญคือ ประเทศไทยไม่เคยประท้วงแผนที่นี้อย่างเป็นทางการตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงที่ผ่านมา ไทยได้แสดงการกระทำที่ถือเป็นการยอมรับโดยปริยายว่า ปราสาทดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา เช่น ไม่คัดค้านตอนฝรั่งเศสติดธงกัมพูชาที่ปราสาท หรือเมื่อเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเข้ามาดูแลพื้นที่ก็ไม่ได้มีการทักท้วงใดๆ

 

ดังนั้น ในวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกจึงมีคำตัดสินว่า ตัวปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา และสั่งให้ไทยถอนกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่ตัวปราสาท รวมถึงให้คืนโบราณวัตถุที่เคยนำออกไป

 

อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้แม้จะระบุชัดเจนว่าตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ ไม่ได้ระบุขอบเขตพื้นที่โดยรอบปราสาทราว 4.6-4.8 ตารางกิโลเมตรอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณทางขึ้นจากฝั่งไทย ซึ่งหากยึดตามแผนที่ภาคผนวกหมายเลข 1 เส้นเขตแดนจะตัดคร่อมทางขึ้นดังกล่าว แต่หากยึดตามแนวสันปันน้ำก็จะอยู่ในเขตประเทศไทย

 

ความคลุมเครือนี้กลายเป็นต้นตอของข้อพิพาทในเวลาต่อมา โดยเฉพาะเมื่อทั้งไทยและกัมพูชา ต่างตีความคำตัดสินของศาลไปในทิศทางที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายประเทศตนเอง และเมื่อกัมพูชานำปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกในช่วงหลัง จึงยิ่งนำไปสู่ความตึงเครียด จนกลายเป็นเหตุปะทะในช่วงปี 2551 และรุนแรงยิ่งขึ้นในปี 2554

 

ที่มา: The Cambodia Daily

 

เมื่อกัมพูชายื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลก กระทบถึงการเมืองไทย

จุดเริ่มต้นของข้อพิพาทรอบใหม่เริ่มต้นในปี 2550 เมื่อกัมพูชายื่น ปราสาทพระวิหาร ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 พร้อมกับแนบแผนที่แนบท้ายซึ่งครอบคลุมกับข้อพิพาทของไทยในช่วงปี 2550-2551 และกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งทั้งบริเวณชายแดน และทั้งการเมืองภายในประเทศในเวลาต่อมา

 

กระทรวงการต่างประเทศของไทยพยายามเจรจากับกัมพูชาเกี่ยวกับแผนที่ดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ โดยเสนอให้ร่วมกันยื่นแหล่งโบราณคดีบริเวณปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ครอบคลุมทั้งตัวปราสาทที่อยู่ในฝั่งกัมพูชา และแหล่งโบราณคดีในฝั่งไทย เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน และเพื่อไม่ให้กระทบต่ออธิปไตยของไทย

 

แต่กัมพูชาไม่ยอม เลือกที่จะขอยื่นขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว ทำให้ ‘นพดล ปัทมะ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในเวลานั้น ได้เดินทางไปหารือกับ ‘สก อาน’ รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2551 และตกลงให้มีการปรับแผนที่แนบท้ายคำขอเสนอขึ้นทะเบียน ซึ่งจะจำกัดเฉพาะตัวปราสาท ที่ศาลโลกได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2505 โดยไม่นำพื้นที่โดยรอบที่ยังเป็นเขตพิพาทมาเกี่ยวข้อง 

 

เมื่อฝ่ายไทยได้รับแผนที่ฉบับใหม่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2551 และกรมแผนที่ทหารได้ตรวจสอบ และยืนยันว่าไม่มีการล้ำแดนเข้ามาในฝั่งไทยแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ให้ไทยลงนามในเอกสารที่เรียกว่า แถลงการณ์ร่วม (Joint Communiqué) ซึ่งรับรองว่าไทยจะ “ไม่ขัดขวาง” การเสนอขึ้นทะเบียนดังกล่าวโดยกัมพูชา โดยลงนามในวันที่ 18 มิถุนายน 2551

 

แต่ทันทีที่ข่าวการลงนามถูกเผยแพร่ออกมา ก็จุดชนวนความไม่พอใจในวงกว้าง โดยเฉพาะจาก กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ซึ่งกล่าวหาว่ารัฐบาลยอมขายชาติ และดำเนินการโดยไม่โปร่งใสต่อประชาชน อีกทั้งยังละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่กำหนดให้การลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน 

 

ต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯ 9 คนได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ให้คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศ ยุติการดำเนินการตามมติ ครม. ที่ให้ความเห็นชอบกับแถลงการณ์ร่วม โดยอ้างว่าอาจเป็นการผูกพันทางอธิปไตย และยังมีการรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 33,000 รายชื่อ เพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารถึงรัฐบาลไทย

 

ศาลปกครองกลางใช้เวลาไต่สวนอย่างเร่งด่วนกว่า 10 ชั่วโมง และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในวันที่ 28 มิถุนายน 2551 ให้คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศยุติการดำเนินการจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น รวมถึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการลงนามในเอกสารแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวทั้งกับทางกัมพูชาและยูเนสโก

 

อย่างไรก็ตาม แม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งชัดเจนในฝ่ายไทย แต่เมื่อถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (World Heritage Committee) ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ก็มีมติให้รับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามคำขอกัมพูชา ทำให้สถานการณ์การเมืองไทยให้รุนแรงยิ่งขึ้น 

 

กลุ่มพันธมิตรฯ นำประเด็นนี้เป็นธงหลักในการโจมตีรัฐบาล ‘สมัคร สุนทรเวช’ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงกดดันต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

 

ในวันที่ 29 กันยายน 2552 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ 6 ต่อ 3 ชี้มูลว่า ‘สมัคร สุนทรเวช’ และ ‘นพดล ปัทมะ’ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเสนอแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ผ่านรัฐสภา และส่งเรื่องต่อไปที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

 

แม้กรณีแถลงการณ์ร่วมจะสร้างแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก แต่สุดท้าย ‘สมัคร สุนทรเวช’ ก็พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากคดีจริยธรรมในประเด็นอื่น และไม่ถูกฟ้องร้องจากเหตุการณ์นี้ ขณะที่ ‘นพดล ปัทมะ’ ถูกวุฒิสภามีมติถอดถอน แต่ภายหลังศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ยกฟ้อง

 

ชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ

 

ความต่อเนื่องของปัญหา สู่การปะทะชายแดนปี 2554

แม้ว่าคณะรัฐบาล ‘สมัคร สุนทรเวช’ จะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว แต่ประชาชนก็ยังมองว่าไทยมีท่าทีอ่อนข้อให้กับกัมพูชา ยังคงดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงรัฐบาลของ ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดมา และเผชิญกับความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และกลายเป็นการปะทะที่ลุกลามขึ้นในช่วงปี 2551-2554

 

ช่วงเดือนตุลาคม 2551 มีการปะทะกันด้วยอาวุธจริงครั้งแรกระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย และมีการใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด ความตึงเครียดทวีขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทยเอง ที่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง

 

ปลายปี 2551 ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่าทีของรัฐบาลไทยก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา เพราะแผนที่ที่กัมพูชาใช้แนบไปกับยูเนสโกนั้น มีขอบเขตที่ไทยมองว่าล้ำเข้ามาในพื้นที่พิพาท ไทยจึงไม่รับรองแผนผังดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อจัดทำแผนบริหารจัดการร่วมกันแทน

 

ในช่วงปี 2552-2553 ยังคงมีการปะทะตามแนวชายแดนเป็นระยะๆ ขณะเดียวกันก็เกิดความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มเติม เมื่ออดีตนายกฯ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลกัมพูชาให้เป็น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ทำให้รัฐบาล ‘อภิสิทธิ์’ ไม่พอใจและส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาแย่ลงอีก และทั้งสองประเทศถึงกับเรียกเอกอัครราชทูตของตนกลับประเทศ

 

ต้นปี 2554 เหตุการณ์เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น มีการยิงปืนใหญ่และปะทะกันใกล้ตัวปราสาท จนได้รับความเสียหายบางส่วน ยูเนสโกจึงต้องออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิง และขอความร่วมมือในการปกป้องปราสาทที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว

 

ในวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อศาลโลกให้พิจารณาคำพิพากษาเดิมในปี 2505 อีกครั้ง โดยให้ตีความเพิ่มเติมถึงขอบเขตบริเวณโดยรอบตัวปราสาท และยืนยันสิทธิในอธิปไตยของกัมพูชาในการครอบครองพื้นที่ดังกล่าว

 

เหตุการณ์ที่ยืดเยื้อนี้ ทำให้มีข้อเสนอให้มีประเทศที่สามเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย โดยประธานาธิบดีประเทศอินโดนีเซีย ‘ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน’  ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในขณะนั้น เป็นตัวกลาง ในขณะที่ทางฝ่ายกัมพูชาเห็นด้วย แต่รัฐบาลไทยยืนยันว่าจะเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น

 

ต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกได้ออกคำสั่งชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศ ถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทรอบปราสาท และตั้งให้เป็นเขตปลอดทหาร (provisional demilitarized zone) พร้อมให้มีผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาติดตามสถานการณ์ในพื้นที่

 

ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลกได้ตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยย้ำอีกครั้งว่า ตัวปราสาทอยู่ในเขตกัมพูชา แต่ศาลไม่ได้ตัดสินว่า พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เป็นข้อพิพาทนั้น ควรเป็นของใคร โดยระบุว่าทั้งสองประเทศต้องตกลงกันเองในประเด็นนี้

 

หลังจากนั้นไม่นาน การเมืองทั้งในไทยและกัมพูชาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐบาลใหม่ของทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่เน้นการลดความตึงเครียด และหันมาใช้ช่องทางทางการทูตมากขึ้น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ก็เริ่มกลับมาทำงานอย่างจริงจังอีกครั้งในช่วงกลางทศวรรษ 2560 เพื่อหาทางออกในเรื่องเส้นเขตแดนและการใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างสันติ

 

ในขณะที่เหตุการณ์ปะทะในครั้งนั้น ตั้งแต่ปี 2551-2554 มียอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 34 รายรวมทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ทั้งทหารและประชาชนพลเรือน

 

ที่มา: Khmerization

 

ชนวนเหตุปะทะครั้งใหม่ กับข้อพิพาทเดิม

หลังจากปี 2556 เหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาก็สงบเรียบร้อยดีเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีกลุ่มชาวกัมพูชาเข้ามาร้องเพลงชาติที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาทกันอยู่ ทำให้หลายๆ คนตั้งคำถามว่า กัมพูชากำลังแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการรุกรานพื้นที่นี้

 

จนกระทั่งในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้เกิดการปะทะกันเป็นเวลาราว 10 นาที ระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในบริเวณพื้นที่ช่องบก ซึ่งอยู่ในเขตสามเหลี่ยมมรกต (Emerald Triangle) จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนจะสามารถเจรจาหยุดยิงได้

 

ต่อมากระทรวงกลาโหมของกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์อ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ของไทย ‘พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์’ ได้เดินทางไปพูดคุยกับ ‘พล.อ. เมา โซพัน’ ผบ.ทบ. ของกัมพูชา และได้ตกลงใช้กลไกการเจรจา การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC 

 

แต่ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ‘สมเด็จ ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า กัมพูชาจะไม่ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เนื่องจากเป็นดินแดนของกัมพูชา และจะให้ศาลโลกเป็นผู้ตัดสิน ทั้งที่มีการตกลงที่จะพูดคุยเจรจาผ่านกลไก JBC ซึ่งไทยยืนยันมาตลอดว่าจะคุยผ่านกลไกดังกล่าวเท่านั้น

 

วันที่ 4 มิถุนายน 2568 กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์เตรียมเดินหน้ายื่นเรื่องการปะทะดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการศาลโลก พร้อมกับนำเรื่องข้อพิพาทบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย สู่ศาลโลกด้วยเช่นกัน ในขณะที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นยังคงยืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนสงบเรียบร้อยดี และจะยังมีการเจรจาผ่านกลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 เนื่องจากไทยไม่ยอมรับในเขตอำนาจของศาลโลก ก่อนจะมีการควบคุมเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา

 

สถานการณ์ดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนัดประชุมกลไก JBC ทางนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ได้แถลงผลการประชุมว่ามีผลสำเร็จ ทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับในกรอบของการประชุม พร้อมย้ำว่าไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก แม้กัมพูชาจะยื่นฟ้อง ก็ไม่ส่งผลใดๆ กับไทย

 

แต่สถานการณ์กลับตรงกันข้ามกับคำแถลงการณ์ เมื่อกัมพูชาได้เผยแพร่คลิปเสียงความยาว 17 นาที ระหว่าง ‘แพทองธาร’ กับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ผ่านโซเชียลมีเดีย 

 

เนื้อหาของคลิปเสียงเป็นการหารือกันเรื่องความร่วมมือชายแดน แต่กลับกล่าวถึงกองทัพและแม่ทัพภาคที่ 2 ‘พล.ท. บุญสิน ภาคกลาง’ ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” พร้อมกับกล่าวว่า เขาพูดเพื่ออยากจะดูเท่ จึงพูดอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ นอกจากนี้ยังกล่าวว่าอีกว่า หากอยากได้อะไรให้บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้

 

คลิปเสียงนี้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย รวมถึงการแทนตนว่า หลาน-อังเคิล (ลุง) ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองไทยอย่างหนัก ในวันที่ 19 มิถุนายน พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้ประกาศถอนตัวจากรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมของผู้นำที่ทำลายความมั่นคงของประเทศได้

 

ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยให้รองนายกรัฐมนตรี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ขึ้นรักษาการแทน

 

ที่มา: Royal Thai Government

 

สถานการณ์ชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้งในรอบทศวรรษ

ในขณะที่การเมืองไทยสั่นคลอน ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนกลับปะทุอย่างรุนแรงมากขึ้น เมื่อในช่วงเย็นวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ทหารลาดตระเวนของไทยได้เหยียบทุ่นระเบิด บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้มีทหารบาดเจ็บ 5 ราย โดย 1 รายข้อเท้าขาด

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศทันที ในขณะที่ ‘พล.ท.บุญสิน’ ได้ยกระดับมาตรการตอบโต้ โดยปิดด่านทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ช่องอานม้า, ช่องจอม, ช่องสะงำ และช่องสายตะกู พร้อมเตรียมรับมือทางการทหาร

 

ในขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า กัมพูชาได้เคยเตือนไทยหลายรอบแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวมีกับระเบิดจากช่วงสงครามหลงเหลืออยู่ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฝ่ายไทยในกรณีที่มีทหารได้รับบาดเจ็บ 5 ราย

 

จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กัมพูชาได้เปิดฉากยิงบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ซึ่งห่างจากตัวปราสาทตาเมือนธมราว 200 เมตร โดยฝ่ายไทยพยายามตะโกนเจรจาแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ต้องมีการยิงตอบโต้ ก่อนจะเกิดเหตุลุกลามปะทะกันในอีกหลายพื้นที่ คือ บริเวณปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์, บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร คือ ภูมะเขือและห้วยตามาย  อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ, ช่องบก, ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

 

การสู้รบดำเนินต่อเนื่องกว่า 5 วัน ส่งผลให้ประชาชนหลายหมื่นคนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่แนวปะทะ ต้องอพยพออกจากพื้นที่ รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน พร้อมกับความเสียหายของอาคารบ้านเรือน 

 

รัฐบาลไทยแถลงประณามกัมพูชา จากการโจมตีใส่พื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โรงเรียน และวัด ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ โดยกระทรวงการต่างประเทศระบุว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ในขณะที่กัมพูชาได้ตอบโต้ว่า ไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน

 

ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายมากขึ้น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ในฐานะประธานสมาคมอาเซียนของปีนี้ ได้เสนอเข้าเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยทั้งสองประเทศ โดยมีการเจรจาขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

 

ทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า ตกลงยุติการสู้รบโดยไม่มีเงื่อนไข และให้มีผลทันทีตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พร้อมนัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC (General Border Committee)  ตามกลไก JBC ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ

 

ที่มา: ไทยคู่ฟ้า

 

ความแตกต่างจากอดีต-ปัจจุบัน กับปัญหาข้อพิพาทเดิม

เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2554 และปี 2568 มีสาเหตุจากปัญหาการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนรอบเขตปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งการแบ่งเขตพื้นที่เหล่านี้ยังคงไม่ชัดเจน แม้จะมีคำพิพากษาจากศาลโลกถึงสองครั้งแล้วก็ตาม 

 

ความคลุมเครือของคำตัดสินทั้งในปี 2505 และการตีความเพิ่มเติมในปี 2556 ทำให้พื้นที่โดยรอบปราสาท ยังคงเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายต่างตีความว่าเป็นของตน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดทางทหารมาอย่างต่อเนื่อง

 

ในช่วงปี 2551-2554 สถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทยเปราะบางจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหลายครั้ง ตั้งแต่รัฐบาล ‘สมัคร สุนทรเวช’ มาสู่รัฐบาล ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ และในที่สุดคือรัฐบาล ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ การเมืองที่ขาดความมั่นคง ส่งผลต่อท่าทีของรัฐบาลไทยในปัญหาชายแดน ซึ่งไม่มีเสถียรภาพเพียงพอในการจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาด 

 

ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าว ได้เกิดเหตุปะทะทางทหารขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะการปะทะที่รุนแรงในเดือนเมษายน 2554 ที่บริเวณรอบปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ซึ่งส่งผลให้ประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ รวมถึงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย

 

รัฐบาล ‘อภิสิทธิ์’ ในขณะนั้นยังคงยึดหลักการเจรจาแบบทวิภาคี และปฏิเสธการให้ประเทศที่สามหรือองค์กรใดๆ เข้ามาแทรกแซง รวมถึงสมาคมอาเซียนในฐานะองค์กรภูมิภาคด้วยเช่นกัน 

 

แม้จะมีข้อเสนอให้ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในเวลานั้น เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย พร้อมส่งผู้สังเกตการณ์ลงพื้นที่ตามคำร้องขอของกัมพูชา แต่ไทยก็ไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการ อาจด้วยเหตุผลเรื่องอธิปไตยและหลักการไม่แทรกแซงภายในซึ่งกันและกันของอาเซียน

 

ในขณะที่ปี 2568 เหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี

 

เหตุปะทะเริ่มต้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดอย่างฉับพลัน ทว่าความแตกต่างสำคัญจากอดีตคือ ท่าทีของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร ชินวัตร’ และท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ได้เปิดรับแนวทางการเจรจาพหุภาคีมากขึ้น ท่ามกลางจุดยืนของไทย ที่ยืนยันที่จะเจรจาผ่านกลไก JBC 

 

แม้รัฐบาลจะเผชิญวิกฤตอย่างหนักจากกรณีคลิปเสียงที่มีเนื้อหาสนทนากับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ซึ่งถูกเผยแพร่ในสื่อ และนำไปสู่การที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว รวมถึงการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วน ส่งผลให้รัฐบาลตกอยู่ในสถานะที่ขาดเสถียรภาพ

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยอมรับในอีกทางหนึ่ง ที่จะเดินหน้าการเจรจาผ่านกลไกพหุภาคีด้วย โดยยอมรับให้ประเทศที่สามเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากแนวทางเดิมในปี 2554 และทำให้สมาคมอาเซียนสามารถมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท จึงไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันไว้อย่างไม่มีความหมายอีก

 

ในขณะที่ท่าทีของรัฐบาลไทยเป็นอย่างที่ปรากฏ แต่กัมพูชากลับยังคงยึดแนวทางเดิม คือการใช้กลไกของศาลโลก เป็นเครื่องมือสร้างแรงกดดันทางการเมือง โดยในปี 2554 เคยยื่นขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ใหม่ และในปี 2568 ก็ยังคงยึดแนวทางเดิม ในการเสนอข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของ ICJ อีกครั้ง เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวทางของกัมพูชาว่า ไม่ต้องการจะเจรจาแบบทวิภาคีมาโดยตลอด

 

เมื่อพิจารณาภาพรวมของสถานการณ์ทั้งสองช่วงเวลา จะพบว่ามีจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ยังคงเหมือนเดิม คือข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนที่ไม่ได้รับการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน

 

แต่แนวทางการจัดการกับปัญหาข กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากท่าทีที่ปิดกั้นและยึดหลักทวิภาคีในปี 2554 สู่แนวทางการทูตเชิงรุกและการยอมรับบทบาทของประเทศที่สามในปี 2568 

 

แม้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะเผชิญข้อวิจารณ์ว่ามีความอะลุ่มอะล่วยกับผู้นำกัมพูชา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเปิดรับประเทศที่สาม ก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลงได้ในระดับหนึ่ง

 

ท้ายที่สุด แม้การปะทะทางทหารจะยังคงเหมือนเดิมในทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่บทเรียนสำคัญที่ปรากฏชัด คือการที่ปัญหาข้อพิพาทระหว่างดินแดน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้อาวุธและความรุนแรงได้อย่างยั่งยืน แต่การเจรจาทางการทูต การยอมรับกลไกระหว่างประเทศ และการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศให้มั่นคง เป็นหนทางนำไปสู่การจัดการความขัดแย้งได้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องแลกด้วยชีวิตของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising