วันนี้ (18 กันยายน) ในการกล่าวถ้อยแถลงของผู้นำของรัฐสภาอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สมเด็จ ควน สุดารี ประธานรัฐสภาแห่งกัมพูชา ได้กล่าวถ้อยแถลงโดยระบุว่า ขอเน้นย้ำว่าหากไม่มีความมั่นคงเสรีภาพและสันติภาพในภูมิภาค เราคงไม่สามารถสร้างอาเซียนที่มีส่วนร่วม
“การบูรณาการในภูมิภาค การสร้างสันติภาพและเสถียรภาพ เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมในการสร้างประชาคม เราต้องระมัดระวังและใช้ความพยายามและการรักษาสันติภาพและ เสถียรภาพและต้องรักษาไว้ซึ่งการมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน จึงขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณประเทศที่รักสันติภาพทุกประเทศในการสนับสนุนในการก่อให้เกิดการหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งถือเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคและสันติภาพ”
ประธานรัฐสภากัมพูชายังกล่าวว่า ต้องระมัดระวังว่าการหยุดยิงค่อนข้างเปราะบาง การควบคุมเชลยศึกทหาร 18 นายของกัมพูชานั้น กระทำโดยมิชอบ การติดตั้งรั้วลวดหนามโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการขัดขวางการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องพยายามระงับยับยั้งการใช้กำลังรวมถึงการทำลายทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน เรามีความวิตกกังวลอย่างยิ่งว่า การละเมิดการหยุดยิงจะทำให้เกิดความเปราะบางรอบใหม่ และจะทำให้เกิดความขัดแย้งซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศ และจะนำไปสู่การเพิ่มความขัดแย้งที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
“การประกาศกฎอัยการศึกและการละเมิดอธิปไตย ระหว่างกัน ขอให้ทุกท่านได้ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้มีคณะผู้สังเกตการณ์พิเศษของอาเซียนลงพื้นที่พิพาทที่เรียกว่า IOT พร้อมขอเรียกร้องให้มีการหยุดใช้ความรุนแรงทางการทหารและการปักปันเขตแดนโดยฝ่ายเดียว และควรให้มีคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดนให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และควรเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ”
ประธานรัฐสภากล่าวต่อไปว่า ตอนนี้เราอยู่บนทางแยกที่สำคัญ มีวิกฤตการณ์ต่างๆมากมาย โลกนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสันติภาพ ในภูมิภาคของเราควรจะใช้มาตรการทุกมาตรการในการจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชาที่มีความเปราะบางอย่างยิ่ง เพื่อให้เราเป็นภูมิภาคที่มีสันติภาพและเสถียรภาพ การใช้การทูตเชิงรัฐสภาก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
“เราไม่ควรใช้ประเด็นปัญหาทางการเมืองภายในและโยนมาที่เพื่อนบ้าน เราควรต้องสร้างสะพานแห่งความเชื่อใจความร่วมมือ และไม่ควรใช้รั้วลวดหนามมากีดกั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศ เราควรแบ่งปันความมั่นคงมั่งคั่งร่วมกัน เราควรส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน เพื่อสร้างสันติภาพให้ยั่งยืนและยาวนานแทนที่จะสร้างสงคราม ที่ดึงพวกเราออกจากกัน เราควรหยุดการโทษกันไปมา และควรส่งเสริมการใช้กลไกด้านรัฐสภาระหว่างประเทศในการส่งเสริมสันติภาพ โดย AIPA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เราควรใช้ความพยายามมากยิ่งขึ้น”
สมเด็จ ควน สุดารี ยังเน้นย้ำว่าเอกภาพของอาเซียนมีความสำคัญ เราต้องยืนหยัด คุณค่าของเราและหลักการของเรา เราจะไม่ทนว่าอำนาจคือความถูกต้อง และไม่ควรทำให้ผู้ที่อ่อนแอต้องเป็นฝ่ายที่เงียบ
รองประธานสภาฯ ไทย โต้กัมพูชา มีหลักฐานการบิดเบือนกฎหมายระหว่างประเทศ
ต่อมา ฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ของไทย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย กล่าวถ้อยแถลงบนเวที AIPA โดยระบุว่า ในนามของรัฐสภาไทย ขอย้ำถึงถ้อยแถลงครั้งนี้ว่ารัฐสภาไทยไม่ขอทำลายบรรยากาศฉันท์มิตรของ AIPA โดยการใช้เวทีของฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อขยายความชี้แจงข้อมูล หรือตอบโต้ใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศอันดีงาม ความถ้อยทีถ้อยอาศัยของเพื่อนสมัชชา AIPA
ฉลาดระบุว่า รัฐสภาไทยเห็นว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชาต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการโจมตีพลเรือน โครงสร้างพื้นฐาน โดยการยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนของพลเรือนไทย ส่งผลให้พลเรือน ผู้บริสุทธิ์ และ เด็กเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เกิดการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญาเจนีวา กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ตลอดจนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก สิทธิคนพิการ
“การกระทำยังกล่าวถึงว่าเป็นอาชญากรรมสงครามตามธรรมนูญกรุงโรม และขัดต่ออนุสัญญาออตตาวาด้วยการวางระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ส่งผลให้ทหารไทยผู้กล้าหาญต้องทุพพลภาพถาวร โดยทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ครอบครอง ตามรายงานความโปร่งใสของกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันไทยไม่มีระเบิดทุ่นระเบิดใดอยู่ในครอบครอง นอกจากนี้ การพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่วางไว้ และยังไม่ถูกใช้งาน ด้วยปรากฏหลักฐานข้อเท็จจริงว่า ทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว จึงเป็นที่ชัดเจนว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางโดยกัมพูชา”
รองประธานสภาฯ ไทยยังได้กล่าวอีกว่า กัมพูชายังอ้างว่าไทยโจมตีใกล้โบราณสถานปราสาทเขาพระวิหาร ที่อยู่ภายใต้อนุสัญญากรุงเฮก ขอย้ำว่าการปฏิบัติการทางทหารของไทย ไม่กระทบต่อโบราณสถานดังกล่าว และไทยได้ชี้แจงต่อยูเนสโกเพื่อทราบแล้ว
“และกรณีที่ชาวบ้านกัมพูชามีการรื้อรั้วลวดหนามซึ่งฝ่ายไทยติดตั้งบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว มีความจำเป็นต้องเล่าความจริงให้ทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในอธิปไตยของไทย และมีความพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนได้รับบาดเจ็บ มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางอันเป็นการละเมิดกฎหมายไทย ไทยจึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ ตามหลักสากลและหลักสิทธิมนุษยชน”
ฉลาดกล่าวว่า รัฐสภาไทยขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณต่อทุกฝ่าย ที่มีความพยายามทำให้สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขอย้ำว่าความรุนแรงไม่สร้างประโยชน์อันใดกับประชาชน มีแต่สร้างความเสียหาย ความเจ็บช้ำ และลุกลามบานปลายเป็นรอยแผลในใจที่ไม่สามารถลบเลือนได้
ดังนั้น เราจึงควรหันหน้าเข้าหากันในการสร้างความปรองดอง ขอยืนยันว่า รัฐสภาไทยจะยึดมั่นหลักการของสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชน และหลักการของอาเซียน เราสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติวิธีผ่านช่องทางทวิภาคีที่มีอยู่ และไม่ประสงค์จะเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายใด เชื่อมั่นว่า AIPA เป็นตัวแทนของประชาชน และเราเข้ามาในนามของประชาชน จึงขอยืนยันว่าการใช้วิธีของฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมความไว้วางใจ และหาข้อยุติร่วมกันอย่างสันติ และยั่งยืนเพื่อประโยชน์ ของประชาชนทั้งสองประเทศต่อไป