ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (7 กรกฎาคม) ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.10 บาทต่อดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป อาจชะลอตัวลงหนักจนเข้าสู่สภาวะถดถอย ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดการเงิน หลังจากที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของสหรัฐฯ (ISM Services PMI) ในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 55.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี
โดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอยดังกล่าวนั้น ได้กดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ราคาน้ำมันดิบเบรนต์และ WTI ปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 100.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 98.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตามลำดับ สร้างแรงกดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป
ทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 2.80% ก่อนที่บอนด์ยีลด์จะปรับตัวขึ้นตามการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สู่ระดับ 2.93% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมและอัตราการว่างงาน และรอประเมินทิศทางนโยบายการเงิน Fed ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 107.1 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่ารุนแรงของสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์ (GBP) โดยเฉพาะเงินปอนด์ (GBP) ที่อ่อนค่าลงแรงสู่ระดับ 1.191 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ท่ามกลางวิกฤตการเมืองอังกฤษ หลังรัฐมนตรีหลายกระทรวงยื่นใบลาออก เพื่อกดดันให้นายกฯ อังกฤษ Boris Johnson ลาออก
ทั้งนี้ การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ยังคงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,738 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งต้องจับตาแนวรับถัดไปในโซน 1,725 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ว่าจะมีแรงซื้อทองคำหนุนราคาทองคำให้รีบาวด์กลับขึ้นมาได้หรือไม่ แต่โฟลวธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท การแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่ามากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ซึ่งเรามองว่า หากตลาดยังคงกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักถดถอย โดยเฉพาะในฝั่งยุโรป อีกทั้ง ECB ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยคล้ายกับ Fed ก็อาจจะยังเป็นปัจจัยที่หนุนเงินดอลลาร์และกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าต่อในระยะนี้ได้ แต่เราคงมุมมองเดิมว่า จุดกลับตัวของเงินดอลลาร์อาจเกิดขึ้นในช่วงการประชุม Fed ปลายเดือนนี้ หาก Fed ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง
อย่างไรก็ดี แม้เราจะยังมองว่ามีโอกาสที่เงินบาทจะเริ่มกลับตัวมาแข็งค่าได้ แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่ทางการจีนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง หลังเริ่มมีรายงานยอดผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากภาพดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าแตะแนวต้านถัดไปที่ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ได้
อย่างไรก็ดี เรามองว่าความผันผวนสูงของเงินบาทในช่วงนี้ (เงินบาทอ่อนค่าเร็ว) อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยลดความผันผวนลงได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์ปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ทัน
นอกจากนี้ เราประเมินว่าผู้ส่งออกอาจเริ่มกลับมาทยอยขายเงินดอลลาร์ได้ หลังเงินบาทอ่อนค่าแตะโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.40 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP