กฤษฎา อุตตโมทย์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD เกี่ยวกับภาพรวมของสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย กับผลกระทบจากปัญหาการผลิตรถ EV ที่ล้นเกินจากจีน ซึ่งทำให้ผู้ผลิตรถ EV สัญชาติจีนหลายค่าย ต้องหันมาระบายรถส่งขายในต่างประเทศ รวมถึงไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
กฤษฎา กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ภาพจำแรกของรถ EV ในไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องของปัญหาการผลิตที่ล้นเกินในจีน แล้วจึงเล็งเป้ามาที่ไทย เพราะเดิมทีไทยเองก็มีแผนดึงดูดให้จีนเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว”
ในช่วงที่ไทยเริ่มประกาศมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก หรือ แพ็กเกจ EV 3.0 เมื่อปี 2565 ขณะนั้น EV กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างมาก และไทยเองเล็งเห็นโอกาสที่จะดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและ Supply Chain ที่เกี่ยวข้อง มาในไทย โดยในตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึงปัญหา การผลิตที่ล้นเกินของรถ EV เพราะเทรนด์ของโลกกำลังปรับเปลี่ยนเข้าสู่เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยที่ผ่านมา ทุกๆ ปี ยอดการผลิตรถ EV จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในปี 2568 นี้ ไทยมีเป้าหมายตาม นโยบาย 30@30 ที่จะผลิตรถยนต์ EV ประมาณ 10% ของยอดการผลิตทั้งหมด หรือเทียบเท่าราว 225,000 คัน แต่ปีที่แล้ว ยอดการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 1.4 ล้านคัน จึงยังไม่ใกล้เคียงเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ที่ราวๆ 2.25 ล้านคันภายในปี 2568 หมายความว่า ภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตรถ EV ใน 3-4 ปีข้างหน้า อาจจะยังไม่เติบโตไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ แต่ในขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด และ Range-Extended EV ที่ใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้า มาทำตลาดมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับใช้ไลน์การผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กฤษฎามองว่า ต่อให้ไม่มีการเข้ามาของรถ EV อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยก็มีแนวโน้มยอดขายปรับลดลง ซึ่งเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง โดยในส่วนของรถสันดาป โดยเฉพาะในส่วนของรถกระบะนั้น กำลังการซื้อของลดลง และการปล่อยสินเชื่อก็ไม่คล่องอย่างในช่วงที่ผ่านมา ด้วยความกังวลของสัดส่วนหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นผลโดยตรงมาจากปัญหาการผลิต
ค่ายรถ EV จีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร?
ในมุมมองของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กฤษฎาคิดว่า มีโอกาสสำหรับไทยในการรับมือการเข้ามาของค่ายรถ EV จีน พร้อมทั้งนำเสนอให้ภาครัฐพิจารณานโยบายที่เสนอให้มีการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนต่างชาติ กับซัพพลายเออร์ในประเทศ ในลักษณะที่เป็น Joint Venture มากขึ้น
โดยอาจมีการสร้างกฎระเบียบ เช่น ถ้าจะมาลงทุนในซัพพลายที่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ควรเกิดการลงทุนร่วมกันกับซัพพลายเออร์ในประเทศที่มีอยู่ เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานไทย และถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันมากขึ้น หรือถ้าอยากได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น ก็ต้องมาลงทุนร่วมกับไทย ด้วยการทำเทรนนิ่ง ทำวิจัยกับไทย รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย สำหรับการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เช่นสนับสนุนการผลิตและการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ด้วยมาตรฐาน มอก. ให้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เป็นต้น