วันนี้ (28 ธันวาคม) ศูนย์อำนวยการร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาพล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศอร.) แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดน ภายหลังทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าขณะนี้ภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และกำลังเข้าสู่ช่วงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อนำไปสู่สันติสุขที่ยั่งยืน
ตามที่ได้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วม ทั้งสองฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีจากการสู้รบและการยั่วยุ มาสู่การใช้เวทีทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดยการดำเนินการทั้งหมดจะมีกลไกควบคุมและตรวจสอบอย่างเคร่งครัด หากพบการใช้อาวุธเกิดขึ้นหลังการหยุดยิง ทางฝ่ายไทยจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรายงานไปยังหน่วยงานระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหากมีการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายต่อประชาชนไทย กองทัพไทยยังคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตอบโต้และป้องกันตนเองอย่างเต็มที่
ในด้านความมั่นคงทางอากาศ นาวาอากาศโท ณัฐนัย จันทร์เปล่ง ผู้ช่วยโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงกรณีพบเครื่องบินลำเลียงแบบ IL-62 จากเบลารุสเดินทางไปยังกรุงพนมเปญว่า กองทัพอากาศได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยทุกหน่วยมีความพร้อมปฏิบัติการทันทีหากประเมินแล้วว่าเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน แต่จากการข่าวยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีภัยคุกคามใดๆ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกต่อกระแสข่าวลือ
ทางด้านสถานการณ์ภาคพื้นดิน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและไม่ประมาท โดยจากการติดตามสถานการณ์ตลอดยังไม่พบรายงานการละเมิดข้อตกลง
พร้อมกันนี้ พ.อ.ริชฌา ได้ชี้แจงประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับข้อแถลงการณ์ที่ 4 เรื่องการอนุญาตให้ประชาชนกลับเข้าพื้นที่ โดยระบุว่า กรณีชาวกัมพูชาที่เคยอาศัยในพื้นที่บ้านหนองจานนั้น ไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวได้ เนื่องจากเงื่อนไขในแถลงการณ์ระบุชัดเจนว่า การกลับเข้าที่พักอาศัยต้องอิงกับพื้นที่ปัจจุบัน ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อที่ 2 ของแถลงการณ์ที่ยึดพื้นที่ตามการวางกำลังทหาร ดังนั้น พื้นที่ใดที่ทหารไทยวางกำลังควบคุมไว้แล้ว ให้ถือเป็นเขตแดนของไทยโดยสมบูรณ์ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
สำหรับแผนการดูแลประชาชนในพื้นที่ ชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า แม้สถานการณ์จะดีขึ้นและประชาชนในศูนย์พักพิงมีจำนวนลดลง แต่ทางราชการยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้กลับเข้าพื้นที่ในทันที
เนื่องจากต้องมีการวางแผนความปลอดภัยอย่างรัดกุมที่สุด โดยศูนย์พักพิงยังคงเปิดให้บริการและดูแลประชาชนตามปกติ ขอให้ประชาชนรอฟังประกาศจากทางราชการอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ เมื่อได้รับอนุญาตให้กลับเข้าพื้นที่แล้ว ขอให้ประชาชนสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเยียวยาและเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัยต่อไป


