วันนี้ (16 มิถุนายน) ศาลล้มละลายกลางนัดอ่านคำพิจารณาคำร้องยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ ศาลล้มละลายกลาง อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย หรือ THAI เปิดเผยภายหลังจากศาลล้มละลายกลางนัดอ่านคำพิจารณาคำร้องยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ของบมจ.การบินไทย ระบุว่า ในวันนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการการบินไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้วส่งผลให้คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการจะสิ้นสุดหน้าที่ลงเป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ภายหลังประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่
- การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน
- การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด
- การมี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท (เดือน เมษายน ปี 2567 ถึง มีนาคม ปี 2568) ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคมนี้ เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
สำหรับตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการสำคัญตามแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จลุล่วงในด้านต่างๆ อาทิ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว การขยายเครือข่ายเส้นทางบินให้ครอบคลุมภูมิภาคต่างๆ การปรับปรุงฝูงบินและห้องโดยสาร การพัฒนาระบบดิจิทัลและยกระดับมาตรฐานการให้บริการในทุกจุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เสริมความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน ผ่านกระบวนการการแปลงหนี้และดอกเบี้ยตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุน และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯ ซึ่งทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กลับเป็นบวกที่ 55,221 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบเป็นจำนวน 127,235 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และบริษัทฯ ยังสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องทุกไตรมาสตั้งแต่ปี 2566 รวมทั้งยังเป็นสายการบินที่มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานสูงสุด 3 อันดับแรกของโลกติดต่อกันในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด จากการจัดทำข้อมูลโดย Airline Weekly
ทั้งนี้ ในส่วนของการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ จากมูลหนี้ที่เจ้าหนี้จำนวนกว่าหนึ่งหมื่นรายยื่นขอรับชำระหนี้ ณ วันที่บริษัทฯ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีมูลหนี้รวมกว่า 4 แสนล้านบาทนั้น ปัจจุบัน การบินไทยมีภาระหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งถึงที่สุดให้ได้รับชำระหนี้ ประมาณ 189,578 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ทยอยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่ได้รับคำสั่งถึงที่สุดให้ได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จนถึงไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ได้ชำระหนี้ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 94,080 ล้านบาทโดยมีมูลหนี้คงเหลือที่ยังต้องชำระจนถึงปี 2579 ประมาณ 95,498 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยจ่ายเฉลี่ยประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ในช่วงบ่ายวันนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) บมจ.การบินไทย จะมีการประชุมบอร์ดนัดแรกของบอร์ดใหม่เพื่อพิจารณาแต่งตั้งประธานบอร์ด รวมทั้งประชุมวาระปกติอื่นๆ ทั่วไปของการประชุมบอร์ดนัดแรก รวมทั้งการรับโอนทรัพย์สินจากผู้บริหารแผน
เมื่อสื่อข่าวถามว่าบริษัทฯ บมจ.การบินไทย จะกลับมาพิจารณาจ่ายเงินปันผลได้หรือไม่ทันทีหรือไม่นั้น ปิยสวัสดิ์ ยืนยันว่าบริษัทฯ มีความพร้อมสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดปี 2568 ได้ทันที เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ สามารถล้างผลการขาดทุนสะสมได้หมดแล้ว อีกทั้งมีผลการดำเนินงานที่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง แต่ขึ้นกับการพิจารณาของผู้ถือหุ้นที่จะมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2569 ในช่วงเดือนเมษายนปีหน้า
สำหรับสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน มองว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก่อนก็มีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน และมีสถานการณ์ฮามาสปะทะกับอิสราเอล
“ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้เหนือกว่าที่คาดไว้ แต่อาจมีผลกระทบต่อเส้นทางการบินของบริษัทฯ จากไทยไปยุโรป ให้ต้องบินอ้อมหลีกเลี่ยงจุดที่มีการปะทะส่งผลให้การเดินทางใช้ระยะเวลาเดินทางมากขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 30 นาที ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบกับการจองตั๋วการเดินทางของผู้โดยสารของการบินไทย”
ขณะที่การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนหลักของธุรกิจสายการบินในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาพอสมควร ซึ่งแม้ขณะนี้จะมีเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นระดับที่ยังต่ำกว่าตัวเลขที่ตั้งไว้ในงบประมาณของบริษัทฯ อยู่มากพอสมควรจึงเชื่อว่าจะไม่เป็นประเด็นปัญหาต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ขณะที่การเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงของราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบกับสายการบินทุกรายในอุตสาหกรรม