Tether ในฐานะ Stablecoins ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ได้เปิดเผยข้อมูลรายการทรัพย์สินของตัวเองเป็นครั้งแรกต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูลระบุว่าทุนสำรองของบริษัทราว 75.85% อยู่ในรูปของเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และตราสารหนี้ระยะสั้น
ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ เป็นไปตามคำสั่งศาลในสหรัฐฯ จากกรณีที่ Tether และบริษัทแม่อย่าง Bitfinex ได้ถูกแบนไม่ให้ทำธุรกิจในนิวยอร์ก หลังจากตกลงจ่ายค่าปรับจำนวน 18.5 ล้านดอลลาร์ จากกรณีที่ปกปิดผลขาดทุนจำนวน 850 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทุนสำรองที่เปิดเผยออกมานี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเสี่ยงที่นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต้องจับตาดูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีที่ Tether มีทุนสำรองเป็นเงินสดอยู่เพียง 3.87%
สำหรับราคาเหรียญคริปโตฯ เมื่อช่วงหัวค่ำของวานนี้ (24 พฤษภาคม) เริ่มรีบาวด์กลับมาเล็กน้อย โดยบิตคอยน์ปรับขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 38,000 ดอลลาร์ หลังจากที่เมื่อวันก่อนหน้าร่วงลงไปต่ำกว่าระดับ 33,000 ดอลลาร์ ส่วนอีเทอเรียมกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง
ขณะที่ Econometrics ระบุว่า หลังปรากฏการณ์ Halving ของบิตคอยน์ราคาเหรียญมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะปรับตัวลดลงรุนแรง โดยจากสถิติภายหลังการ Halving ในสองครั้งที่ผ่านมา ราคาของบิตคอยน์หลังทำนิวไฮใหม่มีโอกาสจะปรับตัวลงได้ลึกสุดถึง 80%
อย่างไรก็ตาม ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มองว่า การปรับฐานของบิตคอยน์ในรอบนี้อาจจะไม่ได้ลงไปลึกเท่ากับอดีตที่ผ่านมา หลังจากที่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ๆ เข้ามาลงทุนมากขึ้น ส่วนตัวมองว่าการปรับฐานในระดับ 30-50% ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างมากแล้ว
“คิดว่าต้องมีบางบริษัทที่เข้าซื้อก่อนหน้านี้ขายออกมาบ้างแน่นอน แต่กลับกันก็อาจจะมีบางบริษัทเข้าซื้อเพิ่ม เพราะบิตคอยน์ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความสามารถในการลดความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้น”
สำหรับปัจจัยพื้นฐานของบิตคอยน์มองว่ายังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนต้องติดตามคือ กรณีของ Tether (สกุลเงินดิจิทัลที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสถานะเป็น Stablecoins) ซึ่งล่าสุดได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัท พบว่าปัจจุบัน Tether มีเงินสดสำรองอยู่เพียง 3-4% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (Commercial Paper) ทั้งหมด
ในส่วนนี้ต้องติดตามดูว่า หากมีปัญหาเกิดขึ้น Tether จะมีความสามารถในการแปลง Commercial Paper เหล่านี้มาป็นเงินสดได้เร็วมากน้อยเพียงใด และการที่ราคาของคริปโตฯ ลดลงมาค่อนข้างมาก อาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อ Tether ลดลงไปได้ ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจะกระทบต่อราคาบิตคอยน์โดยตรงคือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจลดวงเงินการอัดฉีดสภาพคล่อง (Tapering)
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
