เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เทสลา (Tesla) ได้เปิดเผยสถานการณ์สำคัญของบริษัทหลังจบช่วงไตรมาส 3 ของปี 2017 ที่ผ่านมานี้ (กรกฎาคม-กันยายน) ซึ่งล่าสุดกำลังเผชิญกับวิกฤตผลประกอบการรวมขาดทุนมากถึง 619 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 20,500 ล้านบาท! ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเทสลา โดยปัจจัยสำคัญเกิดจากไม่สามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Model 3 ได้ทันความต้องการของผู้บริโภค
เทสลาเผยว่า พวกเขาสามารถผลิต Model 3 ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนเพิ่มได้เพียง 260 คันเท่านั้น ห่างจากเป้าหมายที่อีลอน มัสก์ ประธานบริหารของบริษัทตั้งไว้ในเบื้องต้นว่า ภายในปีนี้เทสลาจะต้องผลิต Model 3 ให้ได้มากกว่า 5,000 คัน
ทั้งนี้เชื่อกันว่าต้นตอที่เเท้จริงของปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะเทสลาไม่มีกำลังการผลิต ‘แบตเตอรี่อัดประจุพลังงานไฟฟ้า’ ที่ใช้ในตัวรถยนต์ได้มากพอ นั่นจึงทำให้พวกเขาผลิตรถยนต์ได้ไม่ทันความต้องการ
ปัญหาการขาดทุนมหาศาลนี้ยังส่งผลลุกลามไปยังเหล่าพนักงานบริษัทเทสลา โดยสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เทสลาได้สั่งปลดพนักงานในบริษัทไปมากกว่า 700 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 2% ของพนักงานทั้งบริษัทจำนวน 33,000 คน
มัสก์ให้เหตุผลของการสั่งปลดพนักงานในครั้งนี้ว่าเป็นเพราะพนักงานที่ถูกปลดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และนั่นอาจสร้างความเสียหายมายังบริษัทได้
“มาตรฐานของเราสูง ที่สูงไม่ใช่เพราะพวกเราเชื่อในการตั้งเป้าให้กับผู้คน แต่มันสูงเพราะหากมันไม่เป็นไปตามนั้น พวกเราก็จะพากันตายหมด”
ส่วนแนวทางที่เทสลาจะใช้ในการพลิกวิกฤตดังกล่าวคือให้ลดปริมาณการผลิต Model S และ Model X รถยนต์สองรุ่นแรกของบริษัทลง 10% แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการทุ่มกำลังการผลิตไปที่ Model 3 แทน
ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกรกฎาคม เทสลาก็ได้เริ่มสายพานการผลิตเเบตเตอรี่ในโรงงานแห่งใหม่ที่เนวาดาไปบ้างแล้ว เช่นเดียวกับในอนาคตที่สื่อหลายสำนักต่างกระพือข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่าเทสลามีความพยายามจะขยายถิ่นฐานการตั้งโรงงานไปยังประเทศจีน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามเป้าหมายได้ บางทีโรงงานแห่งใหม่ในแดนมังกรนี้อาจจะช่วยให้เทสลาผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้นด้วย
สำหรับรถยนต์ Model 3 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของเทสลาที่เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม โดยตั้งเป้าเจาะตลาดแมสเป็นหลัก เนื่องจากมีราคาวางจำหน่ายที่จับต้องได้ไม่ยาก เริ่มต้นที่ 35,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นก่อนๆ
อ้างอิง: