Temasek Holdings Pte บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่มีสินทรัพย์ถึง 382,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ กำลังแสดงให้เห็นถึงความน่าเป็นห่วง หลังจากมีผลตอบแทนติดลบถึง -5.07% ตามข้อมูลผลประกอบการเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งถือว่าเป็นการขาดทุนที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2016
ทางบริษัทให้เหตุผลว่าปัจจัยที่ทำให้ขาดทุนมาจากราคาหลักทรัพย์ที่ตกต่ำลง โดยมีมูลค่าการขาดทุน (Unrealized Loss) จากงบดุลบริษัทกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Dilhan Pillay ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Temasek ให้ความเห็นถึงอุปสรรคในเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่กีดกันการค้ากับต่างประเทศที่มีความเข้มข้นมากขึ้นจากความตึงเครียดของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ในเวทีโลก ต้นทุนและความมั่นคงทางพลังงาน รวมไปถึงเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัวอยู่ เขายังกล่าวเพิ่มว่า “บรรยากาศในการลงทุนยุคปัจจุบันมีความท้าทายกว่าที่เราเคยเจอมา มากกว่าตอนเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่เสียอีก” ทั้งนี้ ยังมีการขาดดุลจากทางภาครัฐบาลสิงคโปร์และต้นทุนด้านสาธารณูปโภคที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้าน Rohit Sipahimalani ผู้อำนวยการบริหารด้านการลงทุน (CIO) ของ Temasek เผยว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนตอนตลาดหุ้นปรับฐาน เพราะเขามองว่ามีแนวโน้มสูงที่ตลาดในแถบประเทศพัฒนาแล้วจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ถึงแม้ว่าเขาเองจะยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ลงทุนใน FTX ส่วนหนึ่งของการบันทึกขาดทุน
อีกส่วนที่นำมาสู่การขาดทุนของ Temasek คือการเข้าลงทุนในบริษัทคริปโตเคอร์เรนซีที่ล้มละลายไปอย่าง FTX เมื่อปลายปีก่อน ส่งผลให้บริษัทต้องยอมลงบัญชีเงินจำนวน 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐว่าเป็น ‘หนี้สูญ’ ที่ไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว ถึงกับทำให้ Pillay พูดว่าเป็น ‘ความวิปริต’ ที่ทำให้บริษัทเสียชื่อ
ในแง่พอร์ตโฟลิโอของ Temasek บริษัทลงทุนภายในสิงคโปร์ถึง 28% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดต่อรายประเทศ โดยประกอบไปด้วย Singapore Airlines, Singapore Telecommunications และ Seatrium (บริษัทขุดเจาะน้ำมัน) และจีนที่ Temasek มองบวกมาหลายปี แต่สัดส่วนการถือหุ้นยังอยู่เท่าเดิมที่ 22%
อัตราเร่งในการเลือกลงทุนของบริษัทเองก็ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 61 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีก่อน มาเหลือ 31 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เหตุผลการชะลอมีต้นตอมาจากความกังวลเรื่องมูลค่าของบริษัทในตลาดหุ้นที่ Sipahimalani มองว่ายังคงสูงเกินไปที่จะเข้าลงทุน
Temasek ยังคงสนับสนุนการลงทุนในบริษัทจีนต่อไป เช่น การซื้อหุ้น Alibaba และ JD Central ที่ทั้ง 2 บริษัทก็ขาดทุนเช่นกัน เพราะตลาด CSI 300 เป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดหุ้นเอเชียที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุดของปีนี้ กองทุนต่างประเทศจำนวนมากพากันลดการลงทุน หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวและความตึงเครียดกับสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้ Temasek จึงมีแผนที่จะลงทุนกับบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศมากขึ้น หลังจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการเมืองโลก ซึ่งตลาดที่ Temasek กำลังเล็งอยู่คือแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากปัจจัยเชิงประชากรศาสตร์ และมีการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในรูปแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-07-11/temasek-posts-worst-performance-in-seven-years-as-markets-slump?srnd=premium-asia&sref=CVqPBMVg
- https://www.straitstimes.com/business/temasek-makes-7-billion-loss-as-1-year-shareholder-return-turns-negative?utm_source=emarsys&utm_medium=email&utm_campaign=ST_Newsletter_PM&utm_term=Temasek+makes+%247+billion+loss+as+1-year+shareholder+return+turns+negative&utm_content=11%2F07%2F2023