‘เทมาเส็ก’ บริษัทลงทุนภายใต้รัฐบาลสิงคโปร์ ตัดสินใจชะลอการลงทุน พร้อมมองหุ้นโลกเสี่ยงทรุดตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า

Temasek Holdings บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์มองว่าตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงได้อีกและเริ่มมีมุมมองระมัดระวังต่อการลงทุนมากขึ้น หลังจากที่บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 5.8% สำหรับปีงบประมาณที่ผ่านมาจากการฟื้นตัวของราคาหุ้นในประเทศ

Temasek Holdings ระบุว่า บริษัทจะชะลอการลงทุนลง และเริ่มมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยบริษัทประเมินว่าความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อย (Mild Recession) มีโอกาสจะเกิดได้มากขึ้นในปี 2023 เนื่องจากการใช้นโยบายการเงินตึงตัว และความขัดขัดแย้งระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนก็อาจจะเติบโตได้ไม่ถึงเป้าหมาย 5.5% ที่ตั้งไว้

“เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่บนความเปราะบาง ทั้งเงินเฟ้อสูง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน”

Rohit Sipahimalani ซีไอโอของ Temasek กล่าวว่า ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มจะลดลงอีกในปีนี้และอาจจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยตลาดหมีจะสามารถจบลงได้ก็ต่อเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลับมาผ่อนคลายทางการเงินอีกครั้ง

“ด้วยจุดยืนของ Fed ในขณะนี้ เราไม่เห็นว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”

พอร์ตโฟลิโอของ Temasek ขยายตัวเพิ่มขึ้นแตะ 4.03 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2022 เพิ่มขึ้นจาก 3.81 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อปีก่อน โดย 10 ปีที่ผ่านมา Temasek สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทได้หันไปลงทุนในบริษัทนอกตลาดมากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 52% จาก 45% เมื่อปีก่อน โดยบริษัทนอกตลาดที่ Temasek เข้าไปลงทุน เช่น PSA International, Pavilion Energy และ Singapore Power

ขณะที่บริษัทในตลาดที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ก็ฟื้นตัวเช่นกัน เช่น Singapore Telecommunications เพิ่มขึ้น 11% ขณะที่ DBS Group Holdings ปรับตัวขึ้น 29%

สำหรับพอร์ตลงทุนของ Temasek แบ่งตามพื้นที่ ได้แก่ สิงคโปร์ 27%, จีน 22%, อเมริกา 21%, เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่นและจีน) 14%, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 12% และออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 4%

ก่อนหน้านี้จีนเคยเป็นอันดับหนึ่งในพอร์ตของ Temasek ช่วงปี 2020 แต่หลังจากนั้นบริษัทได้ลดสัดส่วนพอร์ตลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน เช่น Baidu, New Oriental Education และ Technology Group แต่อย่างไรก็ตาม Temasek ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะโอกาสลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)

อ้างอิง: