ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ปรับตัวขึ้นร้อนแรง โดยพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 36.75 บาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากวันก่อนหน้า ก่อนจะปรับลดลงเล็กน้อยมาปิดการซื้อขายที่ 35.75 บาท เพิ่มขึ้น 11.72% ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า Telenor Asia ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DTAC อาจจะตัดสินใจขายหุ้น DTAC ออกไป
ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง Telenor Asia ซึ่ง ‘เกลนน์ แมนเดลิน’ ผู้อำนวยการสายงานสื่อสารองค์กร Telenor Asia กล่าวว่า Telenor Group ไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับข่าวลือหรือการเก็งกำไรในตลาด โดย Telenor ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจในประเทศไทย และกลยุทธ์ในตลาดเอเชียยังไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ในมุมของนักวิเคราะห์ประเมินว่า ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นจากข่าวลือดังกล่าวสะท้อนว่ามูลค่าหุ้นของ DTAC ยังถูกกว่าปัจจัยพื้นฐานพอสมควร แต่เตือนให้ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
สุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ประเด็นข่าวลือดังกล่าวน่าจะมีส่วนผลักดันให้หุ้น DTAC ปรับขึ้นในวันนี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าหาก Telenor ตัดสินใจขายออกไปจะขายไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนการถือหุ้นของ Telenor ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ประมาณ 54-55% ทำให้ราคาหุ้น DTAC ที่ Telenor ต้องการขายออกไปตามกระแสข่าวจะอยู่ที่ราว 50 บาท
“หากดูจากราคาหุ้น DTAC ก่อนหน้านี้ที่ 32 บาท สะท้อนภาพว่าราคาปัจจุบันดูเหมือนจะต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากเกินไป”
ขณะเดียวกัน จากกระแสข่าวที่ว่าผู้ที่สนใจซื้ออาจจะเป็น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ในส่วนนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะในเรื่องของการผูกขาดทางการค้า เพราะหาก TRUE เป็นผู้ซื้อจริง จะทำให้มีส่วนแบ่งรายได้ 53.7% ขณะที่หลักเกณฑ์กำหนดไว้ว่าบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% และมียอดขายเกินกว่า 1 พันล้านบาท จะเข้าข่ายผูกขาดทางการค้า ซึ่งทำให้บริษัทอาจต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์ควบคุมบางอย่างที่อาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต เช่น อำนาจในการต่อรองราคา หรือการกำหนดราคาสินค้าและบริการ
นอกจากนี้ จะเห็นว่า TRUE มีหนี้สินราว 2 แสนล้านบาท หากเข้าซื้อ DTAC จริง หนี้สินอาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 3.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นผู้ซื้อต่างชาติคงต้องติดตามว่าจะเป็นใคร แต่ประเด็นหนึ่งที่ต้องประเมินกันคือ การจะใส่เงินในระดับแสนล้านบาท (รวมกรณีที่ต้องทำ Tender Offer) ในธุรกิจที่ไม่ได้มีการเติบโตสูงนัก เพราะอัตราการเข้าถึงมือถือปัจจุบันค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว หากเทียบกับการไปลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ส่วนไหนจะคุ้มค่ามากกว่า
“กระแสข่าวที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือช่วยสะท้อนว่าราคาหุ้นบนกระดาน Undervalue มากไป เพราะที่ผ่านมามีความกังวลต่อสถานะของ DTAC ที่ไม่มี 5G แต่ประเด็นนี้น่าจะปลดล็อกได้หากคณะกรรมการ กสทช. ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติงานช่วงปลายปีนี้ และน่าจะได้เห็นการนำคลื่น 3,500 MHz ออกมาประมูล”
ด้าน ปฏิภาค นวาวัตน์ นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี มองว่า ประเด็นดังกล่าวยังเป็นเพียงข่าวลือและยังไม่มีการยืนยันใดๆ ออกมา ซึ่งข่าวในลักษณะนี้มักจะเป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้นมากกว่า
แต่หากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐาน จะเห็นว่า DTAC ยังคงแข็งแกร่ง และผลประกอบการไตรมาส 2 สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น และการจ่ายเงินปันผลมากกว่าที่ตลาดคาด
“หาก Telenor จะขายหุ้น DTAC จริง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอยู่แล้ว เพราะ Telenor คงจะไม่ขายที่ราคาต่ำ ขณะเดียวกัน ผู้ที่ต้องการซื้อก็ต้องมองเห็นว่า DTAC ยังมีความสามารถในการทำธุรกิจต่อได้”
ช่วงที่ผ่านมามีความกังวลเกี่ยวกับ DTAC ค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องของการไม่มี 5G และเสียลูกค้าต่อเนื่อง แต่ในมุมกลับกันก็ทำให้ DTAC สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี และมีเงินสดในมือค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ DTAC ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1.99 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.6% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.3% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 1.53 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.2% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 19% จากปีก่อน
สำหรับกระแสข่าวดังกล่าว สืบเนื่องจากเว็บไซต์ Thai Enquirer รายงานว่า TMT Finance ที่ปรึกษาทางธุรกิจซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองลอนดอน ระบุว่า แหล่งข่าว 6 รายระบุว่า Telenor กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการขายหุ้น DTAC ออกไป โดยต้องการที่จะขายออกด้วยมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่มีการยืนยันใดๆ ออกมาจากทาง DTAC หรือผู้บริหารของ Telenor
อ้างอิง:
