ตัวเลขการจ้างงานทั่วทั้งสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 261,000 ตำแหน่ง สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ราว 200,000 ตำแหน่ง แม้ว่าตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 3.6% เป็น 3.7% ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวเกี่ยวกับการประกาศลดจำนวนพนักงานของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงมีมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ถึงคิวของ Meta Platforms Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook มีแผนที่จะเริ่มต้นลดพนักงานตั้งแต่วันพุธที่ 9 พฤศจิกายนนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- “ผมเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ส่งจดหมายเพื่อยืนยันการปลดพนักงาน 11,000 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Facebook
- คำสัญญาเป็นเพียงแค่ลมปาก? อีลอน มัสก์ จะปลดพนักงาน Twitter กว่า 50% หรือคิดเป็นตัวเลขสูงถึง 3,700 คน
- Shopee ประเทศไทย ประกาศปลดพนักงานกลาง Town Hall แหล่งข่าวระบุ อาจมากถึง 600 คน
Business Insider คาดการณ์ว่า จำนวนพนักงานที่จะถูกปลดในครั้งนี้คิดเป็นจำนวนราว 10% ของพนักงานทั้งหมดกว่า 87,000 คน ซึ่งการลดคนในครั้งนี้ถือเป็นการลดคนครั้งใหญ่ครั้งแรกของบริษัทนับแต่ก่อตั้งในปี 2004 หลังจากที่รายได้จากโฆษณาลดลงอย่างมาก และการที่บริษัทมีการลงทุนใหม่ในธุรกิจอย่าง Metaverse
นอกจาก Meta แล้ว บริษัทอย่าง Twitter มีข่าวว่าจะปลดพนักงานมากถึง 7,000 คน ส่วนสองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Apple มีแผนที่จะหยุดรับพนักงานใหม่เป็นการชั่วคราว ขณะที่บริษัทอย่าง Netflix ปลดพนักงานไปเกือบ 500 คน ส่วน Coinbase ก็สั่งปลดพนักงานไปกว่า 1,000 คน เช่นเดียวกับบริษัทอย่าง Snapchat และ SoundCloud ประกาศลดพนักงาน 20% และ Lyft ที่มีแผนจะลดพนักงาน 13%
ทั้งนี้ Crunchbase คาดการณ์ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา พนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีทั้งอุตสาหกรรมถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้วถึง 52,000 คน ในขณะที่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานก็เพิ่มขึ้นแตะ 251,000 คน สูงสุดในรอบ 8 เดือน
ตัวเลขการจ้างงานโดยทั่วไปที่สูงขึ้น สวนทางกับการปลดพนักงานของบริษัทเทค สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมทางธุรกิจที่เริ่มมาสู่ภาวะก่อนการแพร่ระบาดของโควิด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทเทคแต่ละแห่งเผชิญปัญหาคล้ายกันคือ รายได้ที่เริ่มชะลอตัว เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเติบโตอย่างมาก หนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด
หากดูจากบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ 5 แห่ง อย่าง Amazon, Apple, Alphabet, Microsoft และ Meta เมื่อปี 2021 สร้างรายได้รวมกันถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่า GDP ของประเทศเม็กซิโก ขณะที่ 9 เดือนของปีนี้ทั้ง 5 บริษัทมีรายได้รวมกัน 1.07 ล้านล้านดอลลาร์
แม้รายได้ของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะลดลงไม่ได้มากนัก แต่การเติบโตในระดับสูงแบบที่เคยเกิดขึ้นในช่วงโควิดอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะการดึงอุปสงค์จากอนาคตมาใช้ หรือเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอลง เมื่อรายได้ดูจะเป็นสิ่งที่เพิ่มได้ลำบาก ทำให้บริษัทเหล่านี้หันมาควบคุมค่าใช้จ่ายแทน
“หากต้องการจะรักษาอัตรากำไรไว้ ก็ต้องพยายามลดต้นทุน เพราะรายได้ยังขยายไม่ได้” รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง กล่าว
ที่ผ่านมากำไรของหุ้นเทคเติบโตเร็วมาก และเป็นการดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้อย่างมาก จำนวนผู้ใช้งานพุ่งสูง และเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้ผลประกอบการชะลอตัวลง
“ผลประกอบการที่ลดลงไม่ได้แย่มาก แต่ไม่ได้ดีเท่ากับในอดีต โดยรวมเป็นลักษณะของการทรงตัว แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ราคาหุ้นลดลง”
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทเทคในไตรมาส 4 ของปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นก็สะท้อนไปมากพอสมควรแล้ว ด้วย Valuation ระดับนี้ทำให้เราไม่น่าจะเห็นหุ้นเทคลดลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่อีกแล้ว
สำหรับปัจจัยที่อาจจะเข้ามากระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มเทคในช่วงสั้น คือผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็นพรรครีพลับลิกัน ประกอบการผลประกอบการที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 1 ปี 2023
ส่วนเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นที่กดดันหุ้นเทคมาโดยตลอด หากดูจากตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ที่เริ่มขยับขึ้น สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มที่จะเห็นผลบ้างแล้ว ส่วนตัวมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไม่จำเป็นจะต้องไปถึงระดับ 7-8% เพื่อจะดึงเงินเฟ้อลงมา โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ 4-5% น่าจะเพียงพอ
“เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ การเติบโตของหุ้นเทคในระดับ 10-15% ถือว่าดีแล้ว หุ้นเทคขนาดใหญ่เหล่านี้ ท้ายที่สุดจะกลายเป็นเหมือนบริษัทโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะไม่เติบโตหวือหวา จากหุ้น Growth จะกลายเป็นหุ้น Value แทน”
รัฐศรัณย์กล่าวต่อว่า สำหรับหุ้นเทคที่จะยังคงรักษาสถานะหุ้น Growth ไว้ได้ จำเป็นจะต้องสร้าง S Curve ใหม่ สำหรับในกลุ่มหุ้นเทคขนาดใหญ่ บริษัทที่มีโอกาสจะยังรักษาการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม คือ Alphabet ด้วยฐานลูกค้าที่เยอะมาก หรือ Apple ที่เริ่มเปลี่ยนโมเดลธุรกิจมาทำในส่วนของ Subscription และ Microsoft ที่มีจุดเด่นจากโครงสร้างรายได้ 3 ส่วนที่เกื้อหนุนกัน ได้แก่ คลาวด์ ฮาร์ดแวร์ และการให้บริการด้านซอฟต์แวร์
อ้างอิง: