TDRI เผย ไทยนำเข้าพลังงานจากการขนส่งช่องแคบฮอร์มุซถึง 1 ใน 3 หากอิหร่านปิดจริงกระทบแน่ เปิด 3 ช่องทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันพุ่ง ‘กองทุนน้ำมัน-วางแผนอย่างเป็นระบบมุ่งสู่คลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์-ลดภาษีสรรพสามิต’ ห่วงค่าไฟแพงจากต้นทุนที่สูงขึ้น จี้ถึงเวลาภาครัฐวางแผนระยะยาวรับมือปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ถี่ขึ้น
วันนี้ (23 มิถุนายน) ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงกรณีที่รัฐสภาอิหร่านอนุมัติร่างมาตรการปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยระบุว่า ช่องแคบดังกล่าวถือเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งพลังงานโลกทั้งน้ำมันและก๊าซ คิดเป็นสัดส่วน 30% จากพลังงานทั้งหมด โดย 1 ใน 3 ของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยมาจากการขนส่งช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งในขณะนี้แม้รัฐสภาอิหร่านจะลงมติแล้ว แต่ยังจะต้องส่งให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด และผู้นำสูงสุดของอิหร่านอนุมัติเสียก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับ
อย่างไรก็ตาม หากสุดท้ายมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง แน่นอนว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดีดไปที่ 77-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว และอาจทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากมีการปิดช่องแคบจริง แต่มีการประเมินกันว่าสถานการณ์อาจจะไม่ยืดเยื้อ เพราะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกจากการขนส่งสินค้าทางเรือด้วย ซึ่งสุดท้ายสหรัฐอเมริกาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
เปิด 3 เครื่องมือระยะสั้นช่วยพยุงราคาน้ำมันของไทย
ดร.อารีพร กล่าวว่า สำหรับความสามารถในการรับมือของประเทศไทยในความเสี่ยงทางพลังงานนั้น ในมิติของน้ำมันค่อนข้างที่จะกระทบหนัก แต่ประเทศไทยมีเครื่องมือ 3 ประเภทที่จะสามารถใช้แก้ปัญหาได้ในระยะสั้น คือ
- กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้ามาอุดหนุนให้ราคาน้ำมันในประเทศให้ไม่พุ่งสูงมากนัก ซึ่งสถานการณ์ช่องแคบฮอร์มุซถือว่าเป็นการใช้เงินจากมาตรการกองทุนน้ำมันอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเมื่อเกิดวิกฤต ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการใช้เงินกองทุนอุดหนุนน้ำมันดีเซลไปแล้ว 65 สตางค์
- การที่ไทยมีน้ำมันสำรอง ซึ่งสามารถใช้ได้ 60 วัน อาจจะใช้น้ำมันสำรองตรงนี้เข้ามาช่วยได้ หากข้อขัดแย้งนี้ไม่ได้ยืดเยื้อนาน การใช้น้ำมันสำรองจะสามารถเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาได้
- การใช้มาตรการภาษีสรรพสามิตเข้ามาช่วย หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น
กบน. โดยกระทรวงพลังงานอาจจะต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง โดยทั้ง 3 มาตรการนี้ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น
แนะลงทุนเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ลดผลกระทบค่าไฟฟ้าระยะยาว
ขณะที่ผลกระทบต่อค่าไฟจากราคาก๊าซธรรมชาติ LNG ดร.อารีพร มองว่า ไทยนำเข้าก๊าซ LNG จากตะวันออกกลางค่อนข้างมาก โดยนำเข้า LNG จากตะวันออกกลางเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด
ดังนั้นระยะยาวควรหาแนวทางในการลดการพึ่งพาก๊าซ LNG มากขึ้น เช่น การสนับสนุนพลังงานสะอาดในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงาน แต่พลังงานสะอาดอาจจะยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเสถียรภาพของไฟฟ้า เพราะมีความไม่แน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือการลงทุนกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ระบบสมาร์ทกริด หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ และการตอบสนองระบบความต้องการการใช้ไฟฟ้า ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งลงทุนเพื่อให้ไทยมีเสถียรภาพพลังงานในประเทศมากขึ้น
ปตท.-กฟผ. ถึงรัฐบาล แบกต้นทุนค่าไฟมากขึ้น จากนโยบายการตรึงค่าไฟ
ดร.อารีพร ยังกล่าวถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าว่า ราคาค่าไฟนอกจากการใช้ Clawback ที่ใช้ไปค่อนข้างเยอะในการลดค่าไฟงวดที่ผ่านมา ทำให้รัฐเหลือกระสุนหรืองบประมาณน้อยในการพยุงราคาค่าไฟ หากราคา LNG สูงขึ้นค่าไฟฟ้าจะต้องแพงขึ้น แต่ปัจจุบันรัฐบาลประกาศตรึงราคาค่าไฟในปีนี้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ดังนั้นหากตรึงราคาต่อไปจะต้องมีผู้แบกรับภาระนี้ ซึ่งก็คือ ปตท. และ กฟผ. ที่ต้องแบกรับต้นทุนเชื้อเพลิงส่วนต่างและภาระหนี้ แต่สุดท้ายภาระต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน เพราะภาครัฐจะต้องมีการชดเชยในภายหลังอยู่ดี
“ดังนั้นหวังว่าเหตุการณ์นี้จะให้รัฐบาลฉุกคิดให้ได้ว่า ภาครัฐต้องเร่งปรับและปฏิรูปโครงสร้างกิจการและราคาค่าไฟ เน้นการใช้เครื่องมือโดยเฉพาะ Clawback ช่วงที่เกิดวิกฤตจริงๆ และเน้นการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรพลังงานในประเทศมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า โดยเน้นลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมเสถียรภาพพลังงานสะอาดให้แข็งแรงขึ้น เพื่อให้ปัญหาราคาค่าไฟได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน”
เปิดข้อเสนอจาก TDRI
ดร.อารีพร มีข้อเสนอต่อภาคนโยบายว่า เหตุวิกฤตทางพลังงานที่เกิดขึ้นทำให้เห็นถึงความสำคัญของสมดุลพลังงาน 3 ด้าน คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภาครัฐต้องคำนึงอย่างจริงจังในการหาทางเลือกเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อมิติความมั่นคง ทั้งความมั่นคงด้านพลังงาน และความมั่นคงทางราคา ซึ่งภาครัฐควรมีกลไกในประเทศในการจัดการความเสี่ยงนี้
สำหรับภาคน้ำมันนั้น คือการใช้กองทุนน้ำมันอย่างตรงวัตถุประสงค์เมื่อเกิดวิกฤต นอกจากนั้นคือการหามาตรการที่เหมาะสมในการมุ่งสู่คลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) ที่จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยพยุงราคาน้ำมัน สามารถรองรับความเสี่ยงจากวิกฤตได้ยาวนานขึ้น ขณะที่ในส่วนของภาคไฟฟ้าจะต้องเร่งปรับและปฏิรูปโครงสร้างกิจการและราคาค่าไฟ เน้นการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรพลังงานในประเทศมาก ร่วมกับเน้นลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมเสถียรภาพพลังงานสะอาดให้แข็งแรงขึ้น
“ขอเสนอให้ภาครัฐมีการวางแผนในระยะยาว เพราะปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตต่างๆ เริ่มเกิดขึ้นบ่อย นอกจากสงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศแล้ว ยังมีปัญหาสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่กระทบทั้งความมั่นคงด้านพลังงาน และความมั่นคงทางราคา เราไม่ควรแก้ปัญหาอย่างผ่านไปที ภาครัฐควรวางแผนให้ไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้นานขึ้น มีความยืดหยุ่นมากกว่านี้” ดร.อารีพรระบุ