สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการจัดระเบียบการค้าโลกครั้งใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยชี้ว่า แม้อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยต้องเผชิญอาจดูไม่รุนแรงเท่าบางประเทศในอาเซียน แต่เมื่อพิจารณาถึง ‘ขีดความสามารถในการแข่งขัน’ ของประเทศที่กำลังถดถอย ประกอบกับความเสี่ยงจากคู่แข่งที่ได้เปรียบอย่างเม็กซิโกและมาเลเซีย รวมทั้งมาตรการจัดการ ‘สินค้าสวมสิทธิ’ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงหดตัวสูงถึง 0.77% หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
บทวิเคราะห์โดย ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ นักวิชาการ TDRI ระบุว่า การกลับมาของทรัมป์ได้เปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ที่ใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือบีบให้ประเทศคู่ค้าต้องเข้าสู่โต๊ะเจรจาทวิภาคี ซึ่งกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลกและสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบครั้งใหม่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไทยอยู่ตรงไหนในสนามภาษีของทรัมป์?
หลังการประกาศอัตราภาษีรอบใหม่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นจาก 2.5% ในช่วงต้นปี ไปอยู่ที่ 18.6% โดยแต่ละประเทศถูกจัดเก็บในอัตราที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
TDRI ประเมินว่า เมื่อคำนวณข้อยกเว้นต่างๆ แล้ว อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tariff Rate) ที่ไทยต้องเผชิญจะอยู่ที่ประมาณ 16.5% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งสำคัญในอาเซียนอย่างเวียดนาม (19.3%) และอินโดนีเซีย (22.5%) แต่ยังคงสูงกว่ามาเลเซีย ซึ่งได้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษีกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า และที่สำคัญคือสูงกว่า เม็กซิโกและแคนาดา อย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราภาษีที่แท้จริงเหลือเพียง 5-6% จากการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลง USMCA
แม้ไทยจะดูไม่ได้เสียเปรียบเวียดนามหรืออินโดนีเซียในเรื่องอัตราภาษีโดยตรง แต่ TDRI ชี้ว่า ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง หากคู่แข่งสามารถดูดซับต้นทุนจากภาษีและเสนอราคาที่ต่ำกว่าได้ ไทยก็จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในที่สุด โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการแข่งขันกับ เม็กซิโก ซึ่งมีอัตราภาษีต่ำกว่ามากและมีโครงสร้างสินค้าส่งออกบางรายการที่คล้ายกับไทย เช่น กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า
ปัญหาดังกล่าวถูกซ้ำเติมด้วยข้อมูลที่น่ากังวลว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยกำลังถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจาก ดัชนีความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (Economic Complexity Index: ECI) ที่อันดับของไทยร่วงลงจากที่ 24 ในปี 2017 มาอยู่ที่ 29 ในปี 2023 ซึ่งหมายถึงศักยภาพในการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงของไทยกำลังด้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ขณะเดียวกัน สินค้าส่งออกหลักที่ไทยเคยมีความถนัด เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ก็กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เพราะหลายประเทศสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้แล้ว ทำให้ไม่ใช่สินค้าที่ผลิตยากเหมือนในอดีตอีกต่อไป
เปิด 3 ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทยใต้เงาสงครามการค้า
TDRI ได้ใช้แบบจำลองเศรษฐกิจ GTAP เพื่อประเมินผลกระทบต่อ GDP ไทยใน 3 สถานการณ์ โดยเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการภาษีของทรัมป์
1. กรณีแข่งขันไม่ได้ (Worst Case): หากไทยปรับตัวไม่ได้เลย เศรษฐกิจจะหดตัวราว 0.77% โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง 15.4% และยังสูญเสียตลาดส่งออกในที่อื่นๆ อีก
2. กรณีแข่งขันได้ระดับหนึ่ง (Base Case): เศรษฐกิจจะหดตัว 0.42% โดยการส่งออกรวมจะลดลง 1.37%
3. กรณีแข่งขันได้ (Best Case): หากไทยปรับตัวแข่งขันได้ดี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะจำกัดอยู่ที่หดตัว 0.01% แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง แต่สามารถชดเชยได้จากการขยายตลาดส่งออกในภูมิภาคอื่น
โดยในทุกกรณี เศรษฐกิจโลกจะหดตัวราว 0.71% และการค้าโลกจะหดตัวลงราว 2.9% โดยสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงที่สุด (GDP หดตัว 2.39%) เนื่องจากภาระภาษีส่วนใหญ่จะถูกผลักมาที่ผู้บริโภคและบริษัทในประเทศ
อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่ไทยและอาเซียนต้องเผชิญคือ มาตรการจัดการ ‘สินค้าสวมสิทธิ’ (Transshipment) ซึ่งหมายถึงสินค้าจากจีนที่ส่งผ่านอาเซียนเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ อาจออกมาตรการเก็บภาษีสูงถึง 40% และใช้ กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ที่เข้มงวดขึ้น (เช่น กำหนดให้สินค้าที่อ้างว่าผลิตในไทยต้องมีสัดส่วนการผลิตในประเทศอย่างน้อย 40-60%)
หากมาตรการนี้ถูกบังคับใช้ TDRI ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวรุนแรงขึ้นเป็น 0.9%
ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
TDRI ชี้ว่าสิ่งที่ชัดเจนคือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งเสริมขีดความสามารถของตนเองอย่างเร่งด่วน ควบคู่ไปกับการเจรจาทางการค้าอย่างมีกลยุทธ์:
- ลดผลกระทบ: ร่วมมือกับอาเซียนผลักดันให้สหรัฐฯ ยอมรับ “แหล่งกำเนิดสินค้าอาเซียน” (ASEAN Regional Content) เพื่อลดความเสี่ยงจากกฎแหล่งกำเนิดสินค้า และวางเงื่อนไขการเปิดเสรีภาคเกษตรอย่างรอบคอบ
- หาแต้มต่อ: เจรจาขอยกเว้นหรือลดภาษีสำหรับสินค้าบางรายการที่ไม่มีการผลิตในสหรัฐฯ
- ป้องกันผลข้างเคียง: ระมัดระวังไม่ให้ข้อตกลงบางอย่าง เช่น การตกลงซื้อ LNG จากสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดอื่น เช่น ตลาดยุโรปที่มีมาตรการ CBAM (การปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน)
บทวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อความอยู่รอดในระเบียบการค้าโลกใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
อ้างอิง: