ประธานสมาคมธนาคารไทยเห็นด้วยหลักการ Open Competition มองว่า การเพิ่มจำนวนผู้เล่นช่วยให้เกิดการแข่งขันที่สมบูรณ์ขึ้น แต่ต้องเป็นการแข่งขันที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และมีความรับผิดชอบ ไม่หวือหวาจนกระทบเสถียรภาพ
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ให้ความเห็นกับสื่อมวลชนต่อกรณีที่มีข้อเสนอจากพรรคการเมือง ให้เพิ่มจำนวนธนาคารพาณิชย์ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้ในเรื่องอัตราดอกเบี้ย ว่า การพิจารณาจำนวนผู้เล่นในธุรกิจสถาบันการเงินคงไม่สามารถดูเฉพาะธนาคารได้ แต่มองถึงผู้เล่นในรูปแบบอื่นๆ เช่น Non-Bank สหกรณ์ และผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อด้วย ซึ่งหากดูจากจำนวนผู้เล่นในปัจจุบันก็ถือว่ามีไม่น้อย แต่หากมีการเพิ่มจำนวนผู้เล่นอีกก็จะทำให้เกิดการแข่งขันที่สมบูรณ์มากขึ้น
ผยงระบุว่า สมาคมธนาคารไทยเห็นด้วยกับหลักการและนโยบาย ‘เปิดให้แข่งขัน’ หรือ Open Competition จะนำมาซึ่งการแข่งขันที่สมบูรณ์ขึ้น แต่การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะต้องมาพร้อมกับเสถียรภาพของระบบและการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน รวมถึงความเป็นธรรมให้ภาคประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ภายใต้ต้นทุนที่มีความเหมาะสมตามสภาพความเสี่ยงของลูกหนี้
“ในมิติของการปล่อยกู้ ปัจจุบันก็มี Non-Bank และสหกรณ์ เป็นผู้เล่นด้วย แต่ผู้เล่นที่เข้ามาใหม่จะเป็น Non-Bank มากขึ้น หรือกลุ่มที่ทำธุรกิจแบบ Digital Only แน่นอนว่า Open Competition จะทำให้การแข่งขันในตลาดสมบูรณ์มากขึ้น แต่ต้องเป็นการแข่งขันที่เป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบคือ Responsible Lending ด้วยเช่นเดียวกัน” ผยงกล่าว
ประธานสมาคมธนาคารไทยยังกล่าวถึงกรณีที่มีการวิจารณ์ถึงการเปิดให้ขอใบอนุญาตดำเนินการธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่งของ ธปท. ว่ามีจำนวนที่น้อยเกินไป โดยระบุว่า โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องใบอนุญาต Virtual Bank จะจำกัดไว้ที่ 2 ใบ 3 ใบ หรือ 4 ใบ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญคือการแข่งขันที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ เพราะหากการแข่งขันเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและหวือหวา จนนำไปสู่ประเด็นเรื่องเสถียรภาพ ก็อาจนำไปสู่ภาพที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเหมือนในหลายประเทศ
ผยงกล่าวว่า ธุรกิจธนาคารมีต้นทุนอยู่หลายเรื่อง โดยต้นทุนอันหนึ่งที่ชัดเจนคือหนี้เสีย แต่เวลาเราคุยกันคนส่วนใหญ่มักจะไม่นำหนี้เสียเข้ามาอยู่ในสมการ อีกต้นทุนที่สำคัญคือการทำให้เกิดการเข้าถึงและการติดตามให้เกิดการชำระหนี้ ซึ่งหากดูสภาพการแข่งขันของไทยในช่วงที่ผ่านมาก็จะเห็นว่า มีผู้เล่นต่างชาติหลายรายทยอยออกจากการแข่งขันไป เรื่องนี้ก็ถือเป็นการบ่งชี้อะไรบางอย่าง
นอกจากนี้ผยงยังชี้แจงถึงกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องในระบบการโอนเงินไปต่างธนาคารผ่านช่องทาง Mobile Banking และ Internet Banking ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ปัญหาดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจากความจุ หรือ Capacity ของระบบ เนื่องจากความจุของระบบในปัจจุบันสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมได้ถึง 10,000 ธุรกรรมต่อวินาที แต่ค่าเฉลี่ยสูงสุดของปริมาณการทำธุรกรรมยังอยู่ที่ราว 3,000 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของจุดเชื่อมต่อระหว่างท่อส่งธุรกรรมที่ชำรุดชั่วคราว
“อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ เราเปรียบระบบการโอนเงินในปัจจุบันเป็นท่อน้ำ 3 ท่อ ตัวปั๊มน้ำไม่ได้เสีย เท่ากับระบบไม่ได้ล่ม แต่มี 1 ใน 3 ท่อเกิดมีปัญหา ทำให้น้ำในท่อนั้นต้องไปใช้อีก 2 ท่อเพื่อลำเลียงแทน แต่ในขณะเดียวกัน 2 ท่อที่ยังใช้งานได้ก็มีปริมาณน้ำในท่อของตัวเองที่สูงอยู่แล้วเช่นกัน ทำให้เกิดการติดขัดเหมือนระบบล่ม แต่จริงๆ ยังทำงานอยู่” ผยงกล่าว
สำหรับแนวทางการป้องกันไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ผยงระบุว่า ในอนาคตอาจมีความจำเป็นต้องแยกแยะปริมาณธุรกรรมพื้นฐานและธุรกรรมที่เกิดจากกิจกรรมพิเศษออกจากกัน อาทิ วันหวยออก มีการจัดลำดับความสำคัญว่าธุรกรรมใดควรเป็นธุรกรรมหลัก ซึ่งประเด็นนี้บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (ITMX) สมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างพูดคุยกัน