×

การปรับการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม : รัฐทำไปทำไม และคำถามที่สังคมรอคำตอบ

09.12.2025
  • LOADING...
การปรับการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม : รัฐทำไปทำไม และคำถามที่สังคมรอคำตอบ

รัฐบาลกำลัง ‘ปรับโครงสร้างการลดหย่อนภาษี’ สำหรับการออมและการลงทุนระยะยาว

 

ใครรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านต่อปี อาจรู้สึกดีใจที่สิทธิในการลดหย่อนเพิ่มขึ้น

 

แต่ก็มีอีกหลายคนตั้งคำถามว่า…

 

ทำไมต้องลดสิทธิของมนุษย์เงินเดือนรายได้สูงที่เป็นคนแบบระบบภาษีอยู่
ทำไมรัฐไม่ไปตามเก็บภาษีจากคนรวยนอกระบบหรือปิดช่องคอรัปชันก่อน

 

คำถามเหล่านี้ สะท้อนข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ว่าโครงสร้างการคลังไทยยังมีจุดอ่อนทั้งในเรื่อง เศรษฐกิจนอกระบบ ช่องว่างในการเก็บภาษีจากทุนขนาดใหญ่ รวมไปถึงประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งทั้งหมดควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

 

แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่นโยบายใหม่นี้พยายามแก้คือ อีกหนึ่งจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ฝังอยู่ในระบบภาษีมานาน

 

นั่นคือการให้สิทธิลดหย่อนตามขั้นบันไดภาษี ที่ยิ่งรายได้สูงยิ่งได้ประโยชน์มาก
เช่น คนที่อยู่ในขั้นภาษี 35% ได้ลดหย่อนเหมือนรัฐให้ส่วนลด 35 บาทจากทุก 100 บาทที่ลงทุน
แต่คนรายได้กลาง – ล่าง ได้ส่วนลดเพียง 5 – 15 บาท

 

กลไกแบบนี้เป็นสิ่งที่เรามองว่าปกติและเป็นที่คุ้นเคยกันมานาน
แต่ในความจริงกลับ ‘ขยายความเหลื่อมล้ำ’ โดยไม่ตั้งใจและไม่ส่งแรงจูงใจไปยังกลุ่มที่ควรได้รับการส่งเสริมการออม

 

แน่นอน ระบบใหม่นี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ และมีจุดอ่อนที่สำคัญ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น ‘เดอะแบก’ ของระบบภาษี

 

คำถามคือ จะทำอย่างไรให้พวกเขาไม่รู้สึกว่า ‘เจ็บตัวฟรี’
โดยเฉพาะคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านเพียงเล็กน้อย อาจรู้สึกเสียสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม
ขณะที่มนุษย์เงินเดือนซึ่งไม่มีทางเลือกในการวางแผนภาษีแบบผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของบริษัท ก็อาจรู้สึกเสียเปรียบเช่นกัน

 

เมื่อพิจารณาในมุมรัฐ ร่วมกับข้อจำกัดด้านกฎหมาย และภาวะขาดดุลการคลังระดับ 4 – 5% ต่อ GDP ที่ทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ

 

การปรับโครงสร้างครั้งนี้อาจเป็น ‘ก้าวแรกที่จำเป็น’
เพื่อนำระบบลดหย่อนภาษีกลับมาเชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงนโยบาย และควบคุมภาระการคลังในระยะยาวให้มากขึ้น

 

ในโพสต์นี้ ผมขอชวนสำรวจนโยบายใหม่นี้ ผ่านมุมมองด้าน แรงจูงใจ ความเป็นธรรม การลด pain point เรื่องค่าธรรมเนียม และความท้าทายที่ยังต้องจับตาครับ

 

1. ระบบปัจจุบันสร้างแรงจูงใจผิดกลุ่ม
วันนี้การลดหย่อนภาษีให้แรงจูงใจตาม ‘ขั้นบันไดภาษี’
ยิ่งรายได้สูง ยิ่งได้ลดหย่อนมาก

 

คนที่เสียภาษี 30 – 35% เหมือนรัฐให้ ‘ส่วนลด’ 30 – 35% ของเงินลงทุน

 

คนรายได้กลาง–ล่าง ได้ลดหย่อนแค่ 5-15% ไม่รู้สึกคุ้มพอที่จะออมระยะยาว

 

ระบบใหม่ใช้ ‘ตัวคูณ’ แทน โดย
คนรายได้ ≤ 1.5 ล้าน ใช้ตัวคูณ 1.3 เท่า
เช่น หากอยู่ในขั้นภาษี 15% แล้วลงทุน 100,000 บาท จะได้รับสิทธิลดหย่อนเทียบเท่า 130,000 บาท ทำให้ได้ ‘ส่วนลดภาษี’ เพิ่มเป็น 19.5% จากเดิม 15%

 

คนรายได้ > 1.5 ล้าน ใช้ตัวคูณ 0.7 เท่า
เช่น หากอยู่ในขั้นภาษี 30% แล้วลงทุน 100,000 บาท จะได้รับสิทธิลดหย่อนเทียบเท่า 70,000 บาท ทำให้ได้ ‘ส่วนลดภาษี’ เหลือเพียง 21% จากเดิม 30%

 

เป้าหมายของการปรับนี้ คือการ ‘ส่งแรงจูงใจ’ ไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางหรือน้อย

 

ข้อเสียคือ ระบบซับซ้อนขึ้น
และใครที่อยู่ ‘เหนือเส้นรายได้’ เพียงเล็กน้อย อาจรู้สึกเสียสิทธิ
ทางเลือกที่ง่ายกว่านี้คือการใช้ Tax Credit ให้อัตราส่วนลดแบบตรงๆ
แต่กฎหมายไทยยังไม่เปิดทางให้ทำ

 

2. ลดความเหลื่อมล้ำของสิทธิประโยชน์ภาษี
ทุกวันนี้ราว 50% ของต้นทุนการคลังจากการลดหย่อนการออม เป็นของกลุ่มรายได้สูงสุด Top 5%

 

การลดตัวคูณของกลุ่มรายได้สูง (เหลือ 0.7 เท่า)
และเพิ่มให้กลุ่มรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้าน (เป็น 1.3 เท่า)
ไม่ใช่แค่ประหยัดต้นทุนการคลัง
แต่เป็นความพยายาม ‘กระจายแรงจูงใจทางภาษี’ อย่างเป็นธรรมมากขึ้น

 

3. รวมเพดาน ลดความวุ่นวาย ช่วยตลาดทุนมีเสถียรภาพ
โครงสร้างปัจจุบันแยกกันหลายเพดาน (เช่น วง RMF/PVD 30% ต่อรายได้ไม่เกิน 500,000 บาท และวง Thai ESG ไม่เกิน 300,000)

 

โครงสร้างใหม่รวมทุกสิทธิไว้ที่ 800,000 บาทต่อปี
ไม่ต้องคูณ % ต่อรายได้หลายรอบ

 

และที่สำคัญที่สุด เป็นโครงสร้างระยะยาว ลดแรงขายพร้อมกันแบบตอน LTF หมดอายุ

 

ช่วยให้ตลาดทุนมีเงินไหลเข้าอย่างสม่ำเสมอ
สร้างเสถียรภาพจากแรงจูงใจภาษีในระยะยาว

 

4. เปิดทางเลือกใหม่ ค่าธรรมเนียมต่ำลง
ปัจจุบันผู้เสียภาษีที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนมักต้องซื้อกองทุนรวมลดหย่อนภาษี ซึ่งอาจมีค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองทุนทั่วไป นี่คือ Pain point สำคัญของผู้เสียภาษี

 

แต่ระบบใหม่เปิดทางเลือก Individual Saving Account (ISA)
เปิดโอกาสให้ลงทุนผ่านสินทรัพย์ต้นทุนต่ำอย่าง ETF ได้ ช่วยลดภาระค่าธรรมเนียม

 

5. ความท้าทายของนโยบาย: กระทบผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น ‘เดอะแบก’ ของระบบภาษี
นี่คือความท้าทายที่สำคัญ และผมขอเน้นว่าผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทเหล่านี้ คือกลุ่มที่แบกรับมากกว่า 70% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมด

 

แม้นโยบายนี้จะพยายามส่งแรงจูงใจไปยังกลุ่มรายได้กลาง–ล่าง แต่รัฐต้องไม่ละเลยความรู้สึกของคนที่อยู่ในระบบภาษีมาตลอด

 

หากรัฐจะปรับลดสิทธิลดหย่อนของกลุ่มนี้ ก็ควรแสดงให้เห็นว่า ตระหนักถึงคุณค่าของเงินภาษีที่คนกลุ่มนี้จ่ายอยู่
ไม่ใช่แค่การเยียวยาด้วยโครงการชั่วคราวแบบ ‘เพิ่มสิทธิ 400 บาทในคนละครึ่ง’ แล้วจบ

 

นโยบายในอนาคตจึงไม่ควร ‘ลงที่กลุ่มเดียว’ แต่ต้องเดินหน้า ทบทวนสิทธิประโยชน์ทุกกลุ่มอย่างรอบด้าน

 

เช่น สิทธิประโยชน์อื่นๆ ในระบบ PIT สิทธิประโยชน์ BOI รวมไปถึงการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นต่างๆ ก็ควรถูกตั้งคำถามว่าคุ้มค่าและตรงจุดเพียงพอหรือไม่

 

สุดท้ายนี้ เพื่อไม่ให้คนรายได้เกิน 1.5 ล้าน ‘เจ็บตัวฟรี’ การปรับสิทธิลดหย่อนเพื่อการออมไม่ควรจบแค่ตรงนี้ แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งระบบ เพื่อให้คนที่อยู่ในระบบภาษีรู้สึกว่า รัฐเห็นคุณค่า และให้เกียรติการมีส่วนร่วมของพวกเขาอย่างแท้จริง

 

ภาพ: Chris Stein/Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising