วันนี้ (11 พฤศจิกายน) สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย หรือ TABBA ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนข้อกำหนดห้ามขายและห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยอ้างอิงผลวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ชี้ชัดว่ามาตรการดังกล่าว ‘ไม่ได้ผลตามเป้าหมายด้านสาธารณสุข’ และอาจกระทบต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล
TDRI ระบุว่าการห้ามขายในช่วง 14.00–17.00 น. ซึ่งมีผลบังคับมานานกว่า 50 ปี ไม่ได้ช่วยลดการบริโภคจริง ปริมาณการดื่มต่อหัวประชากรยังคงเท่าเดิม ขณะที่ผู้บริโภค 22% ยืนยันว่ายังสามารถซื้อได้ในช่วงเวลาห้ามขาย และผู้ประกอบการ 39% ยอมรับว่าพบเห็นการจำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง การเพิ่มข้อ ‘ห้ามบริโภค’ ตามกฎหมายใหม่อาจซ้ำเติมภาคธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมายและผลักให้เกิดการซื้อขายนอกระบบ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีโดยไม่เกิดผลเชิงสุขภาพอย่างแท้จริง
ภาคค้าปลีกและท่องเที่ยวมองว่ากฎหมายใหม่นี้สวนทางกับเป้าหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดย TDRI ประเมินว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่องมีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี และเชื่อมโยงกับสถานประกอบการกว่า 3 แสนแห่งทั่วประเทศ
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมค้าปลีกไทย ระบุว่าการปลดล็อกข้อจำกัดเวลา “จะช่วยดึงกิจกรรมเศรษฐกิจกลับเข้าระบบ และเปิดโอกาสให้รัฐมุ่งแก้ปัญหาที่แท้จริง เช่น การขายให้เยาวชน”
ขณะที่ ดำรงค์เกียรติ พินิจการ เลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยว เมืองพัทยา กล่าวว่า “ข้อจำกัดนี้ล้าสมัย หากปลดล็อกและขยายเวลาจำหน่ายถึงตี 2 จะช่วยเพิ่มรายได้ผู้ประกอบการ 20–30% โดยไม่เพิ่มปัญหาสังคม หากมีมาตรการกำกับที่เหมาะสม”
TDRI ยังชี้ว่าปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขจริงคือการขายให้เยาวชน ซึ่งยังมีอัตราละเมิดสูงถึง 30% และปัญหาเมาแล้วขับที่คิดเป็น 22% ของอุบัติเหตุทั้งหมด พร้อมเสนอให้รัฐใช้ระบบหักคะแนนผู้ขับขี่แบบขั้นบันไดเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยง
TABBA ย้ำว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ และเยอรมนี ไม่มีข้อจำกัดเวลาขายช่วงบ่าย แต่สามารถจัดการผลกระทบทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมาคมเรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์จาก TDRI ทบทวนข้อห้ามดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน


