×

เพชรสังเคราะห์ล้นตลาด จับตามองเพชรธรรมชาติกำลังจะกลับมา

28.06.2024
  • LOADING...

มูลค่าตลาดเพชรธรรมชาติเคยพุ่งถึงจุดสูงสุดในปี 2022 มีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และเคยคาดการณ์กันว่าจะสูงขึ้นถึง 1.55 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างทำให้ตลาดเพชรที่เคยอู้ฟู่กลับตกต่ำลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อัตราการแต่งงานที่ลดลง รวมถึงความนิยมของเพชรสังเคราะห์จากห้องทดลองที่เป็นคู่แข่งสำคัญของเพชรธรรมชาติ 

 

ความนิยมของเพชรสังเคราะห์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ครึ่งหนึ่งของเพชรแหวนหมั้นกลับถูกแทนที่ด้วยเพชรจากห้องทดลอง ทั้งๆ ที่ในปี 2018 มีเพียง 2% เท่านั้น เมื่อผนวกกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ลากยาวมาตั้งแต่ปลายปี 2023 ทำให้ในเดือนมกราคม De Beers ผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลก ประกาศลดราคาเพชรธรรมชาติลง 10% เพื่อกระตุ้นยอดขาย และราคาเพชรหยาบของทั้งตลาดมีอัตราลดลงถึง 5.7% ในปีนี้ ซึ่งลดลงมากกว่า 30% จากระดับสูงสุดตลอดกาลในปี 2022 

 

ปัจจุบันเพชรสังเคราะห์คิดเป็นประมาณ 20% ของตลาดเพชร โดยเพชรสังเคราะห์มีราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติถึง 85% หนึ่งกะรัตมีราคาอยู่ที่ประมาณ 800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 29,000 บาท เทียบกับประมาณ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 550,000 บาทต่อกะรัต สำหรับเพชรธรรมชาติน้ำงาม โดยแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า เมื่อรวมเข้ากับกระแสความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นใหม่ที่นำเพชรจากห้องทดลองมาใช้ประชาสัมพันธ์ก็ยิ่งสร้างความนิยมในคนรุ่นใหม่มากขึ้นไปอีก จนแม้แต่คนดังอย่าง Emma Watson หรือ Meghan Markle ก็เลือกใส่เครื่องประดับจากเพชรสังเคราะห์ 

 

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์กำลังจะเจอกับปัญหาอุปทานล้นตลาด ทำให้ราคาเพชรสังเคราะห์ลดลงอย่างรุนแรงจนแทบจะเข้าไปแทนที่เพชรธรรมชาติไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งถ้าหากติดตามแนวโน้มก็จะพบว่าเพชรที่เกิดขึ้นจากห้องทดลองมีราคาลดลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่กลายเป็นกระแสหลักในปี 2015 โดยในปีนั้นมีราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติเพียง 10% แต่ปัจจุบันราคาลดลงสูงสุดถึง 90% ไปแล้ว

 

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง De Beers ซึ่งเปิดแบรนด์เพชรสังเคราะห์ในชื่อ Lightbox ตั้งแต่ปี 2018 ยังประกาศลดราคาเพชรจากห้องทดลองอย่างถาวรลงเกือบ 40% จนเหลือเพียง 500 ดอลลาร์ต่อกะรัต หรือราวๆ 18,000 บาท จาก 800 ดอลลาร์ ความแตกต่างของราคานี้เองจะทำให้ผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นว่าเพชรทั้งสองอย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

Paul Zimnisky นักวิเคราะห์วงการเพชรชั้นนำ คาดการณ์ว่าผู้ค้าอัญมณีจะปรับลดขนาดธุรกิจด้านเพชรสังเคราะห์ และหันไปสนใจเพชรธรรมชาติมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งจริงๆ แล้วผู้ค้าอัญมณีส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยสต็อกเพชรที่ผลิตในห้องแล็บไว้ในสินค้าคงคลัง และจะซื้อเฉพาะสินค้าฝากขายเท่านั้น ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในปี 2018 อันเป็นช่วงที่กระแสความนิยมของเพชรสังเคราะห์เริ่มแพร่หลาย นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ว่าราคาเพชรสังเคราะห์จะยังคงลดลงต่อไปเรื่อยๆ 

 

ส่วน Tenoris บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในวงการเครื่องประดับ คาดว่าราคาจะลดลงอีกประมาณ 20% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่บริษัทซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ Diamond Standard เชื่อว่าราคาอาจดิ่งลงรุนแรงกว่านี้ หากกระแสโฆษณาเกี่ยวกับเพชรสังเคราะห์เริ่มซาลง ซึ่งอาจลดลงถึงอีก 50-80% ในที่สุด

 

เพชรสังเคราะห์มักนำประเด็นเรื่องความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาเป็นจุดขาย อย่างไรก็ตาม การผลิตเพชรสังเคราะห์ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีแรงบีบอัดและความร้อนสูงเลียนแบบเพชรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แหล่งที่มาของพลังงานก็มีทั้งพลังงานสะอาดและพลังงานจากฟอสซิล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันไป ยิ่งในปัจจุบันผู้ผลิตรายใหญ่ของตลาดเพชรสังเคราะห์คือจีนและอินเดียที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลเป็นหลัก นั่นแปลว่าเพชรสังเคราะห์อาจไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ตามข้อมูลของ International Gem Society การผลิตเพชรสังเคราะห์ขัดเงาหนึ่งกะรัตจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 511 กิโลกรัม

 

อีกทั้งปัจจุบันความร้อนแรงของตลาดเพชรสังเคราะห์ยังผลักดันเทคโนโลยีการผลิตให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และราคาขายลดลงตามไปด้วย ในอนาคตผู้บริโภคก็จะตระหนักได้ว่าเพชรเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าที่ยั่งยืนเท่ากับเพชรธรรมชาติ 

 

ปัจจุบันคู่แต่งงานหลายคู่เริ่มหันมาสนใจเพชรธรรมชาติมากขึ้น แม้อาจมีจำนวนกะรัตที่น้อยกว่า แต่อย่างน้อยๆ ก็เป็นของจริง และเมื่อเร็วๆ นี้ Signet Jewelers ผู้ค้าปลีกเครื่องประดับรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศความร่วมมือทางการตลาดกับ De Beers เพื่อกระตุ้นความต้องการเพชรธรรมชาติ หลังจากอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้ทำการตลาดใหญ่ๆ มาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยคาดว่าน่าจะทำให้อุตสาหกรรมเพชรธรรมชาติขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% ในอีก 3 ปีข้างหน้า และช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นสำหรับตลาดเพชรเพื่อการลงทุน ซึ่งมีจำนวนลดลงอย่างมากจากสถานการณ์ราคาที่ดิ่งลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา 

 

อย่างไรก็ตาม ความต้องการเพชรสังเคราะห์จะไม่หายไป แต่ยอดขายมีแนวโน้มที่จะเติบโตช้าลงจนเหลือเพียง 1% ในปีนี้ หรือลดลงจาก 20-30% ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุด ส่วนในอนาคตก็จะกลายเป็นตลาดที่แยกออกไปสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการซื้อของจริง หรือรอเวลาจะอัปเกรดเพื่อซื้อของจริงในอนาคต 

 

อ้างอิง:  

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising