บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ Synnex มั่นใจรายได้ปี 2567 ทำสถิติใหม่ที่ระดับ 40,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากเมกะเทรนด์ AI ที่กำลังเข้ามาขับเคลื่อนการเติบโตในอุปกรณ์เทคโนโลยี
สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านระบบนิเวศไอทีครบวงจร ฉายภาพรวมตลาดไอทีประเทศไทยภายในงาน SYNNEX PARTNER CONNECT 2024 ว่า ตลาดมีดีมานด์เพิ่มขึ้นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ จากเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมการใช้งานอุปกรณ์ของผู้บริโภคให้ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
Synnex ตั้งเป้ารายได้รวมทั้งปีสูงสุดตลอดกาลไว้ราว 40,000 ล้านบาท โดยผลประกอบการในครึ่งแรกของปีนี้ตามข้อมูลของบริษัทอยู่ที่ 19,574 ล้านบาท
ผลลัพธ์ของรายได้ครึ่งปีแรกมาจากการที่ยอดขายสินค้าทั้งในหมวดสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่เติบโตขึ้น 50% จากครึ่งแรกของปีก่อนเทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ รวมถึงอุปกรณ์ไอทีสำหรับรักษาความปลอดภัยที่โต 75% ทำให้บริษัทมีมุมมองบวกกับศักยภาพการเติบโตในครึ่งหลังของปีนี้
“เราค่อนข้างมั่นใจกับเป้าหมายรายได้ปีนี้ เพราะโดยปกติแล้วครึ่งหลังของปีจะเป็นช่วงไฮซีซันของ Synnex เพราะในไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นฤดูกาลที่คนเริ่มเข้ามาซื้อสินค้าไอทีเตรียมไว้สำหรับเป็นของขวัญ แต่เรามองว่าปีนี้พิเศษกว่าทุกๆ ปี เพราะ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทกับอุปกรณ์ไอที โดยในไตรมาส 4 ปีนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคลื่นลูกใหม่ที่ผู้คนจะเริ่มทยอยเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อใช้ฟีเจอร์ AI ซึ่งจะยิ่งเสริมการเติบโตในครึ่งหลังของปีนี้ และปีถัดๆ ไป” สุธิดากล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับการจัดสรรรายจ่ายของคนไทย โดยข้อมูลจาก NIQ เผยในรายงาน Thai Shopper Trends 2567 ว่า ค่าสาธารณูปโภคและอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% ในเดือนมกราคมปีนี้จากปีก่อนหน้า และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยข้อมูล ณ วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาว่า หนี้ครัวเรือนของคนไทยสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 606,378 บาทต่อครัวเรือน โดยการเป็นหนี้สูงมีปัจจัยหลักมาจากรายได้ไม่พอรายจ่าย เป็นสาเหตุอันดับแรกที่บีบให้ผู้บริโภคต้องปรับพฤติกรรมการเงิน
ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นที่มาของคำถามว่า แล้วกำลังซื้อของคนไทยโดยรวมยังมีมากน้อยแค่ไหน หรือการพัฒนาของอุปกรณ์ไอทีจะน่าดึงดูดเพียงพอให้คนเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่หรือไม่?
สุธิดายอมรับว่า เศรษฐกิจไม่ได้ดีในวันนี้ และถ้ามองในตลาดสินค้า Consumer คนจะชะลอการซื้ออุปกรณ์ออกไปก่อนหากรุ่นใหม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันสภาพตลาดตอนนี้คือการที่คนบางกลุ่มถึงรอบที่จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์พอดี ส่วนในอีกกรณีคือการที่สินค้าที่มีฟีเจอร์ AI ก็ไม่ได้ราคาสูงกว่าอุปกรณ์รุ่นเก่า
นอกจากนี้ องค์กรจำนวนมากเริ่มหันมาปรับโครงสร้างบริษัทให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่ซัพพอร์ตฟังก์ชัน AI ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะมาช่วยให้ดันการเติบโตของอุปกรณ์ไอที
“ถ้าองค์กรต้องการใช้ AI ระบบประมวลผลทั้งหมดก็จำเป็นต้องปรับตาม ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นธรรมดา อย่างในกรณีของ Synnex เองก็มีการใช้ AI เพราะเราคำนวณแล้วว่าต้นทุนการเปลี่ยนเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้มันคุ้มค่า ซึ่งเทรนด์การปรับตัวจะไม่กระจุกอยู่แค่ในกลุ่มลูกค้าทั่วไป แต่รวมถึงลูกค้าองค์กรด้วย และนั่นจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กับอุปกรณ์ไอที” สุธิดากล่าวเสริม
สำหรับภาพรวมธุรกิจ Synnex มีสินค้ากลุ่มหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่
- สินค้ากลุ่ม Communication เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ทวอทช์ ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำรายได้ส่วนใหญ่ให้กับบริษัทที่ 46%
- สินค้ากลุ่ม Consumer เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 32%
- สินค้ากลุ่ม Commercial เช่น อุปกรณ์เครือข่ายสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก ระบบเก็บข้อมูล และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 14%
- สินค้ากลุ่ม Enterprise Solutions เช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ และระบบคลาวด์ ซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 8%
ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจครึ่งหลังของปี บริษัทจะเดินหน้าไปพร้อมกับกระแส AI และการเปิดตัวสินค้าใหม่จากผู้ผลิตระดับโลกอย่าง Apple ที่เพิ่งวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด iPhone 16 ไปเมื่อวันที่ 20 กันยายน รวมทั้งแบรนด์จากจีน เช่น HUAWEI หรือ HONOR ที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้บริโภคคนไทยจำนวนมากทั้งในส่วนของสมาร์ทโฟนกับอุปกรณ์สวมใส่ และพยายามขยายตลาดไปที่กลุ่มเกมมิ่งกับโซลูชันสำหรับองค์กรในฐานะกลุ่มที่ให้กำไรขั้นต้นสูง (High Margin) เพื่อผลประกอบการที่ดีขึ้น
