พอล ยอนสัน (Pål Jonson) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ Gripen ของไทย โดยกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ และชี้ว่าสัญญาจัดซื้อนี้จะทำให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงเข้มแข็งมากขึ้น และยังกระจายไปถึงความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น สัญญาชดเชยผลประโยชน์จากการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ (Offset Policy) ที่ Saab ได้ลงนามไปก็จะขยายไปสู่ภาคการศึกษา การวิจัยและพัฒนา และภาคเกษตรกรรม
กรณีคำถามที่ว่า การใช้เครื่องบิน Gripen ของไทยระหว่างสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น มีผลกระทบกับความร่วมมือในปัจจุบันและอนาคตกับสวีเดนหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดนยืนยันว่า ไม่มีผล และมองว่าไทยมีสิทธิ์ใช้ Gripen ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเพื่อป้องกันตนเอง ตราบใดที่ไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนคำถามที่ว่า สวีเดนพอใจหรือไม่ที่ไทยใช้ Gripen ในปฏิบัติการทางอากาศท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน กล่าวว่า “ไทยและกัมพูชาควรลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง และให้คณะกรรมการผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน เข้าไปลดความตึงเครียดของ 2 ประเทศลง ซึ่งตนก็เคารพการปฏิบัติการของไทย ในการป้องกันตนเอง”
ด้าน มิคาเอล โยแฮนสัน (Micael Johansson) ซีอีโอ Saab ยืนยันว่า สิ่งที่คนไทยจะได้จากโครงการชดเชยผลประโยชน์ คือข้อเสนอทางด้าน Tactical Data Link ที่จะสนับสนุนการขยายขีดความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเหล่าทัพอื่นได้ (IPR) และให้ลิขสิทธิ์ในการพัฒนา Data Link ของตนเอง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการให้ทุนการศึกษาในเฟสที่ 1 จำนวน 9 ทุน จากทั้งหมด 50 ทุน ในด้านของการบินและอวกาศ และเฟสต่อไปก็จะขยายไปยังกลุ่มพลังงานสีเขียว เช่น ด้านเกษตรกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
กรณีความเป็นไปได้ในการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา หรือ Saab R&D Office ในไทยในอนาคตนั้น ซีอีโอ Saab กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาความสามารถทางวิศวกรรมของไทยในการพัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Link เองเพื่อติดตั้งในเครื่องบินขับไล่ โดยมี Saab ให้การสนับสนุน รวมไปถึงการใช้ AI และเทคโนโลยีในการพัฒนาอื่นๆ
ส่วนแผนการตั้ง Saab R&D Office ในไทย จะเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่ ยังคงอยู่ระหว่างพิพจารณา เพราะมีหลายประเทศสนใจ Gripen E และอยากมี R&D Center เช่นกัน ซึ่งต้องดูว่าจะทำให้ไทยเป็นฮับที่ใหญ่กว่าได้หรือไม่