วันนี้ (15 ตุลาคม) ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในวาระแรก
สุทิน คลังแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายพร้อมระบุว่า ประเทศเราเป็นประเทศที่เขียนรัฐธรรมนูญบ่อยที่สุด เยอะที่สุด ทำให้ถูกค่อนแคะ จากหลายฝ่ายที่ไม่เข้าใจว่า นักการเมืองไทยไม่คิดจะทำอย่างอื่น คิดจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว ไม่คิดจะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งเหตุที่เราจะต้องมีรัฐธรรมนูญบ่อย เนื่องจากประเทศเราอยู่ในวงจรอุบาทว์
“เขียนแล้วก็มาฉีก ฉีกแล้วก็เขียน เขียนแล้วก็ฉีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ เมื่อมีคนฉีกบ่อย ก็ต้องเขียนบ่อย ฉะนั้นอย่าโทษแต่คนเขียน ต้องไปโทษคนฉีก”
สุทินกล่าวว่า เมื่อมีการเขียนและมีการฉีกรัฐธรรมนูญ ทำไมต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากต้องเขียนเพื่อให้ปกป้องตนเอง สืบทอดอำนาจตนเอง และรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหารก็ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนเท่าที่ควร แม้กระบวนการจะดูดี แต่เมื่อมาจากกลุ่มคนที่ยึดอำนาจไม่ยอมรับคนเขียนก็พาลไม่ยอมรับเนื้อหาไปด้วย และเมื่อไม่รับ ก็ต้องเขียนใหม่ ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคม รวมถึงการทำประชามติแบบกำมะลอ ที่มัดมือชก ให้ใช้ไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
สุทินยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกเบื่อในการเขียนรัฐธรรมนูญ ถ้าเลือกได้ไม่อยากทำ แต่แก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนต้องเริ่มจากการแก้ไขโครงสร้างเอื้ออำนวยให้ทำงานได้ เพราะหากไม่ทำเทวดาก็แก้ให้ไม่ได้ พร้อมย้ำว่า สภาแห่งนี้เราไม่ได้หลับหูหลับตาทำแต่รัฐธรรมนูญ แต่ยังมีการออกกฎหมายอีกหลายฉบับ
สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีความพยายามแก้มานานแล้ว เพราะเมื่อมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญไม่นาน ก็พบว่า แก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ และต่างชาติก็รู้ว่าไม่นานจะแตกแยกอีก ฉะนั้น การที่ต่างชาติจะมาค้าขายและเป็นหุ้นส่วนกับเราคงไม่มาเพราะเหมือนมีระเบิดเวลา
ขณะเดียวกัน เมื่อมีการประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองชูนโยบายว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แสดงว่ารู้ว่าประชาชนอยากให้แก้ สังคมอยากให้แก้ เพราะจะทำให้เมื่อเข้าไปบริหารจะทำงานยาก ซึ่งสมัยที่แล้วมีการเริ่มแก้เป็นสเต็ป แต่มาตกม้าตายในวาระที่ 3 และเมื่อแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ จึงมีการแก้แบบรายมาตรา แต่ก็ทำได้แค่แก้ไขแบบปลาซิวปลาสร้อย
สุทินกล่าวด้วยว่า เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้พรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ไม่ได้รับเลือกเป็นรัฐบาล จนกลายมาเป็นพรรคอันดับ 2 ที่จัดตั้งรัฐบาล และไหลมาวันนี้มาถึงอันดับ 3-4 ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกมาเป็นรัฐบาล และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มีการตั้งองค์กรอิสระขึ้นมา เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลและถอดถอนให้ได้นักการเมืองที่สะอาด บริสุทธิ์ มีคุณธรรม มีมาตรฐานจริยธรรม แต่วันนี้ขอให้ดูหน้าตาของรัฐบาล ว่าจริยธรรมเป็นอย่างไร
“ขอให้ตอบโดยสุจริตใจในใจของตัวเองก็ได้ องค์กรอิสระอิสระจริงหรือไม่ ถ่วงดุลหรือไม่ ตรวจสอบได้หรือไม่ ว่ามาขี่คอถ่วงดุลอำนาจของประชาชน และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สว. บอกว่าเป็นอิสระทางการเมือง ถามตัวเองว่าแม้แต่ใส่เสื้อเลือกได้หรือไม่ และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยุบพรรคมาไม่รู้กี่พรรค สร้างผู้นำไทย 3 ปี 3 คน ที่ต่อให้ 3 คนนั้นเป็นเทวดา จะแก้ปัญหาประชาชนได้หรือไม่”
สุทินยังระบุถึงมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญว่า เป็นที่เขย่าขวัญของ สส. และ สว. เพราะมีคนพูดถึงมาตรานี้ว่ามีคนไปโยกงบประมาณมาใช้ทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท และวันนี้มีคนหยิบไปฟ้อง ซึ่งมาตรานี้ระบุโทษไว้หนัก ตัดสิทธิทางการเมือง และลงโทษทางอาญา หากความผิดเป็นไปตามที่มีการร้อง ศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยออกมาจริงจะตัดสิทธิหมด ทั้งสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว คนที่เป็นกรรมาธิการจะโดนทั้งหมด แม้จะยังไม่เกิดขึ้นจริงเป็นเพียงการขู่ แต่ส่วนตัวคิดว่า ไม่ควรต้องทำให้สภาแห่งนี้กังวล
“รัฐธรรมนูญแบบนี้ส่งเสริมให้ตัวแทนประชาชน มีศักยภาพที่สูงขึ้นหรือลดทอนให้เป็นเป็ดง่อย แล้วทำให้ สส. สว. ต้องพะวงกับเรื่องเหล่านี้ จะไปแก้ปัญหาอะไรให้กับชาวบ้านได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ควรค่า ที่จะเรียกว่าส่งเสริมให้เกิดประชาธิปไตย แต่วันนี้มีคนโกงโดนเชือดคอหรือจำคุกไปแล้วกี่คน ไม่ใช่เดินลอยหน้าชูตาไปสู่อำนาจสูงสุด”
สุทินกล่าวย้ำว่า เราไม่ได้อคติแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนไว้ให้แก้ยากที่สุด และแก้ไม่ได้ด้วย เพราะวางกลไกไว้สลับซับซ้อน 2 วันที่ผ่านมา ที่มีการอภิปรายที่ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ เพราะในสภาสมัยที่แล้วทุกคนทุ่มเทช่วยกันสุดท้ายก็ไปไม่รอด
ส่วนตัวมีความหวังว่าพรรคภูมิใจไทย พรรคแกนนำรัฐบาลเท่านั้นจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประสบความสำเร็จ เพราะท่านกำลังรวบรวมพรรคพวกและอาจเป็นเสียงข้างมากในเร็วๆ นี้ ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะต้องช่วยดันสนับสนุน รวมถึง สว. ที่เป็นคนชี้ขาด และคนที่ประสานงานท่านได้ดีที่สุด
สุทินยังย้ำด้วยว่า ในบรรดาพรรคการเมือง พรรคภูมิใจไทยเรารู้ใจกันมานานว่าท่านไม่คิดที่จะแก้ ทำให้กังวลจนต้องแลกกันด้วย MOA ขณะที่พรรคประชาชนก็รู้อยู่ว่าต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไปไว้ใจคนที่ไม่อยากแก้ แต่ไม่ไว้ใจคนที่อยากแก้อย่างเรา (พรรคเพื่อไทย) ที่พูดขึ้นมาไม่อยากจะจี้ใจดำ แต่อยากบอกทุกคนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อย่าไว้วางใจ อย่าคิดว่าง่าย แม้จะทุ่มเต็มที่แล้วก็อย่าคิดว่าง่าย
เพราะเราไปบังคับคนที่ไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญให้มาแก้ ทั้งนี้เวลาที่เหลือขั้นตอนทุกอย่างอยากให้ช่วยกันกำกับเพื่อให้สำเร็จ เพราะหากไม่สำเร็จอนาคตประเทศข้างหน้าและประชาชนที่รอคอยการแก้ปัญหาของเราก็จะมืดมน