วันนี้ (20 กันยายน) ในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง สุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกรวม 6 คน กรณีถูกกล่าวหาฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง ปิดฉากมหากาพย์คดีโรงพักฉาวที่อยู่ในหน้าข่าวกว่า 10 ปี และภาพจำของสุเทพกับคดีโรงพัก
ศาลใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่งในการอ่านคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 6 ฟัง โดยบรรยายคำฟ้องของ ป.ป.ช. ก่อนที่จะพิพากษายกฟ้อง โดยสรุปดังนี้
- จำเลยที่ 1: สุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเห็นชอบให้จัดจ้างโดยส่วนกลาง และประกวดราคาด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบขั้นตอนจัดจ้าง เป็นการปฏิบัติไปตามระเบียบของทางราชการ ตามที่หัวหน้าหน่วยราชการเสนอมา ซึ่งมีระเบียบของราชการสามารถทำได้ จึงไม่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความผิดตามฟ้อง
- ส่วนจำเลยที่ 2: พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ ใช้ดุลพินิจตามระเบียบของทางราชการในการกำหนดรูปแบบและวิธีการจัดจ้าง โดยไม่จำเป็นต้องเสนอนายกรัฐมนตรี ให้นำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
- จำเลยที่ 3: พล.ต.ต. สัจจะ คชหิรัญ เป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย กรณีเอื้อประโยชน์ ไม่ตรวจสอบราคาวัสดุก่อสร้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริงตามที่จำเลยที่ 5 เสนอมา แต่ข้อเท็จจริงการที่จำเลยที่ 5 เสนอราคาไม่ใช่ราคาที่ต่ำ จนไม่สามารถดำเนินการได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
- จำเลยที่ 4: พ.ต.ท. สุริยา แจ้งสุวรรณ์ เป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 และไม่มีความผิดตามฟ้องเช่นกัน
- จำเลยที่ 5: บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด บริษัทคู่สัญญา โจทก์ฟ้องว่า สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 และเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้องเช่นกัน
- จำเลยที่ 6: วิษณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด บริษัทคู่สัญญา ยกฟ้องเช่นเดียวกัน
สุเทพระบุภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ตนต้องตกอยู่ภายใต้กระแสการโจมตีว่าเป็นคนเลว คนทุจริต เกือบ 10 ปี อดทนอดกลั้นและอาศัยความจริงเข้ามาต่อสู้ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้ว่าเราตั้งใจทำความดีให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชน จะได้รับการคุ้มครอง
“ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น 3 ฝ่าย อำนาจตุลาการของศาลยังเป็นที่พึ่งหลักของบ้านเมืองได้ คนที่ยึดมั่นในหลักการ ยึดมั่นในระบบขอให้มีกำลังใจ สำหรับผมทนทุกข์ทรมานใจมานาน ตอนนี้หมดทุกข์ หมดโศก พ้นเคราะห์ จะเดินหน้าทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชนตามอุดมการณ์ต่อไป ในชีวิตของผมทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชนด้วยความสุจริต ไม่มีใจที่จะคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ไม่ใช่คนทุจริตคอร์รัปชัน ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้ว ใครที่เคยกล่าวหาโจมตี ผมอโหสิให้” สุเทพกล่าว
สุเทพยังระบุด้วยว่า ตนต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ตนได้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลัง ที่มี ส.ส. 5 คน และมีรัฐมนตรี 1 คน เราทำประโยชน์ให้กับประชาชนมามาก ช่วงที่ก่อตั้งพรรคตนถูกโจมตีจากข้อมูลเท็จ แต่วันนี้ตนพ้นผิด มีกำลังใจในการเดินหน้าทางการเมืองต่อไป ยืนยันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่จะขอสร้างนักการเมืองที่ดีมาทำงานเพื่อประชาชน
