วันนี้ (29 เมษายน) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมพวก รวม 5 คน กระทำผิดวินัยร้ายแรง นำไปสู่คำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน
โดยการประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. และรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดให้ทำการสอบสวน
ซึ่งมีรายงานว่า หนึ่งในคณะกรรมการมีบุคคลที่ถูก พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ระบุว่าเป็นคู่ขัดแย้ง และกังวลว่าในการสอบสวนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมีแนวคิดว่าจะยื่นหนังสือมายัง พล.ต.อ. สราวุฒิ หัวหน้าชุดคณะกรรมการสอบสวน เพื่อคัดค้านคณะกรรมการชุดนี้
พล.ต.อ. สราวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญคณะกรรมการทุกคนมาเพื่อประชุมแนวทางการสอบสวน โดย 2 จาก 14 คนไม่สามารถมาประชุมได้เนื่องจากติดราชการ ตามกรอบระยะเวลาของกฎระเบียบที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กำหนดไว้ มีกรอบระยะเวลา 15 วันนับจากวันที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคือวันที่ 22 เมษายน
ดังนั้น พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ และผู้ใต้บังคับบัญชา จะต้องเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งก่อนหน้านั้นทางชุดทำงานจะมีการส่งหนังสือแจ้งไปทางไปรษณีย์ให้กับ 5 ท่านทราบ แต่หากบุคคลที่ถูกเรียกติดธุระ ไม่สามารถเดินทางมาได้ ก็ส่งหนังสือมาเพื่อขอเลื่อนได้ จากนั้นคณะกรรมการจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนพยาน ซึ่งมีกรอบระยะเวลาทั้งหมดไม่เกิน 270 วัน
พล.ต.อ. สราวุฒิ กล่าวต่อว่า กรอบการทำงานของคณะทำงานจะต้องยึดหลักในเรื่องของระเบียบและข้อกฎหมายเท่านั้น และจะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 รายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ จะยื่นคัดค้านหนึ่งในคณะกรรมการฯ ที่เป็นคู่ขัดแย้งนั้นสามารถทำได้ แต่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้พิจารณาว่าบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ แต่ยอมรับว่าการทำงานของคณะนี้อาจจะแล้วเสร็จไม่ทันที่ตนเกษียณอายุราชการ แต่ก็สามารถส่งต่อข้อมูลให้กับผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบแทนได้
ส่วนการที่รักษาราชการ ผบ.ตร. เลือก พล.ต.อ. สราวุฒิ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน พล.ต.อ. สราวุฒิ ระบุว่า รู้สึกตกใจว่าทำไมมอบให้ตนเองเป็นหัวหน้า เพราะใกล้จะเกษียณแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะตนมีความเป็นกลาง และคิดว่าน่าจะเพราะมีความจำเป็นจริงๆ แต่ไม่ได้มีการพูดคุยหรือสั่งการอะไรเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ขอยืนยันและประกาศว่าไม่มีใครมาชี้นำตนได้ รวมถึงยังไม่มีการพูดคุยกับทาง พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ เป็นการส่วนตัว แต่ตนพร้อมหากจะมีใครมาพูดคุย เพราะถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
ส่วนประเด็นที่ว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยังมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอันดับหนึ่งอยู่หรือไม่นั้น พล.ต.อ. สราวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากการตรวจสอบทางวินัยและอาญายังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงขณะนี้ยังไม่ถือว่าออกจากราชการแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากขั้นตอนยังไม่ครบถ้วน
