วันนี้ (17 พฤศจิกายน) สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายช่วงหนึ่งว่าผิดหวังกับรายงานของกรรมาธิการที่ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าจะต้องทำประชามติก่อนลงมติรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 256 หรือไม่ ยืนยันว่าไม่ได้ขึ้นมาพูดเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ ปี 2560 แต่ขึ้นมาพูดเพื่อปกป้องหลักการของรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดของประเทศ ทั้งนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องทำประชามติก่อน ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้หากแก้ไขรายมาตรา
แต่ถ้าคำตอบของกรรมาธิการยังไม่กระจ่างชัด ตนมีความจำเป็นที่จะต้องลงมติให้ความเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยยินดีให้ความเห็นชอบในญัตติที่ 3-6 ของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตราที่เรียกว่าปิดสวิตช์ ส.ว. ยินดีที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง ยินดีให้ความเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 272 ยินดีสละอำนาจ ส.ว. ในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงในมาตรา 270 ในการแก้ไขไม่ให้ ส.ว. มีอำนาจเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ หรือแม้แต่การแก้ไขให้การเลือกตั้งกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบก็ไม่ขัดข้อง
“เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าวุฒิสมาชิกไม่ได้ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมคนหนึ่งในฐานะที่เป็นวุฒิสมาชิกตระหนักถึงความรับผิดชอบการเปลี่ยนผ่านในบ้านเมือง รับฟังทุกเสียงเรียกร้องและไม่ได้รับฟังเฉยๆ แต่เอามาใคร่ครวญเพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน ขอเพียงแต่ว่าการประชุมวันนี้ขอความอิสระ อย่ากดดัน อย่าคุกคาม อย่าข่มขู่ เพราะทั้งหมดเป้าหมายของพวกเราทั้ง ส.ส. และ ส.ว. คืออยากเห็นประเทศชาติดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนผ่านกติกาของรัฐธรรมนูญ” สุรชัยกล่าว
สุรชัยกล่าวต่อไปอีกว่า ตนขอเสนอว่าหากทุกอย่างยังไม่มีความชัดเจนด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ตนเสนอคืนอำนาจให้ประชาชน ทำประชามติเพิ่มอีก 1 ครั้ง ดีกว่าปล่อยให้อึมครึมและเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต อย่าเสียดายงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเสียหายมากกว่างบประมาณทำประชามติ อีกทั้งรัฐบาลได้ส่งร่างกฎหมายประชามติมาแล้ว ในระหว่างเส้นทางของการทำประชามติ เราแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราที่เห็นว่าเป็นปัญหาควบคู่กันไปก็ได้ ตนว่านี่คือทางออกที่สวยงามของระบอบประชาธิปไตย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน เปิดสาระ 7 ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
