รมว.คลังสหรัฐฯ เชื่อว่าศาลสูงสุดจะตัดสินสนับสนุน ‘ภาษีทรัมป์’ ให้เดินหน้าต่อไปได้
วันที่ 1 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่น สก๊อต เบสเซ็นต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ คาดว่า ศาลสูงสุด (Supreme Court) ของสหรัฐฯ จะมีคำวินิจฉัยสนับสนุนการใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินปี 1977 เพื่อตั้งกำแพงภาษีกับทุกประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“ผมมั่นใจว่าศาลสูงสุดจะสนับสนุนอำนาจในการใช้กฎหมาย IEEPA ของประธานาธิบดี และแม้จะมีกฎหมายมาตราอื่นๆ ให้เลือกใช้ก็ตาม ก็ยังไม่มีมาตราใดที่มีประสิทธิภาพหรือทรงพลังเทียบเท่ามาตรา IEEPA” เบสเซ็นต์ กล่าว
เบสเซ็นต์ระบุว่ากำลังจัดทำคำแถลงสรุปคดีเพื่อส่งให้รองอธิบดีกรมอัยการ ผู้ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลการอุทธรณ์ของรัฐบาลต่อศาลสูงสุด และคาดว่าจะส่งให้ทันภายในวันอังคารหรือวันพุธนี้ โดยจะเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาดุลการค้าที่ไม่สมดุลมาหลายทศวรรษ รวมถึงเหตุผลที่ต้องเร่งสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิล ซึ่งคร่าชีวิตชาวอเมริกันหลายพันคน
เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัย ด้วยมติ 7 ต่อ 4 ว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตภายใต้กฎหมายที่เรียกว่า International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 โดยระบุว่าไม่มีส่วนใดที่ระบุถึงอำนาจในการขึ้นภาษีอากรอย่างชัดเจน แต่ยังคงอนุญาตให้ภาษีมีผลต่อไปถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายบริหารยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด
คำตัดสินของศาลจะครอบคลุมมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal) ที่เริ่มประกาศใช้ในเดือนเมษายน รวมถึงภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มกับแคนาดา เม็กซิโก และจีนในเดือนกุมภาพันธ์ แต่จะไม่มีผลต่อภาษีรายกลุ่มสินค้า (Sectoral) ที่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า
ทั้งนี้ เบสเซ็นต์ยังเผยถึงแผนสำรองในการเลือกใช้กฎหมายมาตราอื่นๆ เพื่อขึ้นภาษี โดยระบุว่า อาจนำกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act of 1930 มาใช้ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสูงสุดที่ 50% ต่อประเทศใดก็ตามที่พบว่าเลือกปฏิบัติทางการค้ากับสหรัฐฯ
ทรัมป์เหลือแผนสำรองอย่างน้อย 5 แนวทาง
หากศาลสูงสุดยึดคำตัดสินตามศาลอุทธรณ์ และไม่อนุญาตให้ทรัมป์ใช้กฎหมาย IEEPA ขึ้นภาษี สถานการณ์นโยบายภาษีอาจยังไม่จบง่ายๆ เพราะทรัมป์ยังมีโอกาสขึ้นภาษีได้อีก 5 แนวทาง ดังนี้
- มาตรา 232: ขึ้นภาษีด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ได้ไม่จำกัดอัตราภาษี และระยะเวลา แต่ต้องผ่านการเห็นชอบโดยกระทรวงพาณิชย์
- มาตรา 201: ขึ้นภาษีได้เลยไม่ต้องตรวจสอบ ด้วยเหตุผลด้านปัญหาการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยจำกัดที่อัตรา 15% ภายในระยะ 150 วัน แต่ขยายเวลาได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาคองเกรส
- มาตรา 301: ขึ้นภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สูงสุด 50% เฉพาะในปีแรก โดยจำกัดเวลา 4 ปี และสามารถขยายได้สูงสุด 8 ปี ต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (ITC)
- มาตรา 122: ขึ้นภาษีได้ทันที หากพบว่ามีการกีดกันการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุด 50% ไม่จำกัดระยะเวลา
- มาตรา 338: ขึ้นภาษีได้ไม่จำกัดอัตราภาษี โดยจำกัดเวลา 4 ปี แต่อาจขยายได้ไม่จำกัดเวลา หากพบการเลือกปฏิบัติ หรือละเมิดข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR)
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-09-01/us-tariff-uncertainty-delays-economic-power-lutnick-predicted?srnd=phx-economics-v2&sref=CVqPBMVg
- https://www.reuters.com/legal/government/bessent-expects-supreme-court-uphold-legality-trumps-tariffs-eyes-plan-b-2025-09-01/