×

บทสรุปรถยนต์ปี’68

22.12.2025
  • LOADING...
บทสรุปรถยนต์ปี’68

ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 130,222 คัน เพิ่มขึ้น 11.06% ดันยอด 11 เดือน ยอดขายและผลิตแตะ 1.8 ล้านคัน ชี้ปีนี้ รถ EV เริ่มตั้งหลักได้ เตือนส่งออกปีหน้าเสี่ยงชะลอ ลุ้น ‘การเมือง-งบรัฐ’ ตัวเปลี่ยนเกม

 

วันที่ 22 ธ.ค. 2568 สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2568 ว่า มีการผลิต 30,222 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ 4.03%

 

แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ 11.06% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 57.49% เพราะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยในอัตรา 1.5 เท่าของยอดรถไฟฟ้านำเข้ามาจำหน่ายในปี 2565-2566 ที่ยังผลิตไม่ครบในปีที่แล้ว

 

ส่งผลให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 1,974.14% และผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 7.34% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่ผลิตเพิ่มขึ้น 44.31% ทำให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2568) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,341,714 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2567 ที่ 1.64%

 

“ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศมี 51,044 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ที่ 8.53% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง 20.65% จากรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ขายได้เพิ่มขึ้น เพราะราคาจับต้องได้มากขึ้นและจากรถกระบะดัดแปลง PPV รถกระบะไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าเพิ่มระยะทางที่เริ่มขายในปีนี้ รวมทั้งหลักฐานการเงินของผู้ซื้อรถกระบะแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ยอดขายรถกระบะไม่ลดลงเป็นเดือนแรก”

 

สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทยที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งจะส่งผลลดภาระให้ผู้เช่าซื้อและผู้มีหนี้ลง ชำระคืนเงินต้นได้มากขึ้น มีเงินเหลือไปจับจ่ายซื้อสินค้าจำเป็นอื่นๆ ได้มาตรฐาน โรงงานผลิตมากขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เป็นการเริ่มต้นสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นเสียที โดย 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2568) มีรถยนต์มียอดขาย 546,045 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 5.28% ดั้งนั้นหากรวมยอดผลิตและขาย 11 เดือน รวมแล้วอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน

 

ห่วงส่งออกรถยนต์กระทบถึงปีหน้า

 

ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนพฤศจิกายน 2568 ส่งออกได้ 78,692 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วที่ 5.26 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ 12.22% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในบางรุ่นเพื่อส่งออก ส่งผลให้ส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในลดลงถึง 43.53% และส่งออกรถกระบะลดลง 6.39% แต่ยังคงส่งออกรถกระบะไฟฟ้าและรถยนต์นั่งไฟฟ้าต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นมีแค่เอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย เท่านั้น และชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกเพิ่มขึ้น 6.19%

 

อย่างไรก็ตาม จากมาตรการขึ้นภาษีสหรัฐฯต้องจับตาไปจนถึงปีหน้า กังวลว่าอาจมีผลต่อยอดส่งออกรถยนต์ไม่ถึงเป้าปี 68 ที่ตั้งไว้ที่ 9.5 แสนคัน

 

สำหรับด้าน EV เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 129,044 คัน เพิ่มขึ้น 44.28%

 

สุรพงษ์ กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้ว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งปีมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเป้าที่ 600,000 คัน โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากยอดจองรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ (Motor Expo) ที่ผ่านมา ซึ่งทำตัวเลขได้สูงถึงประมาณ 75,000 คัน ถือเป็นยอดจองสูงสุดอันดับ 2 เท่าที่เคยมีมา

 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการส่งมอบรถยนต์ เนื่องจากยอดการผลิตในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อยู่ที่กว่า 130,000 คัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 150,000 คัน

 

โดยไทยส่งออกรถยนต์ไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มีตลาดหลักคือเอเชีย (28.5%) ออสเตรเลียและโอเชียเนีย (27%) และตะวันออกกลาง (21%) แต่ในขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวในบางตลาด

 

“โดยเฉพาะออสเตรเลียที่ยอดส่งออกลดลงถึง 16% เนื่องจากเผชิญการแข่งขันอย่างหนักจากรถยนต์ค่ายจีน ประกอบกับออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้กฎหมายการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้รถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องเสียค่าธรรมเนียมปรับ ส่งผลให้ไทยต้องเร่งผลักดันการส่งออกรถกระบะไฟฟ้า”

 

5 ปัจจัยเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมรถยนต์ปีหน้า 2569

 

สำหรับปีหน้า ประเด็นทางการเมือง นโยบายใหม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้

 

1. ความชัดเจนของรัฐบาลใหม่และตัวบุคคล สิ่งที่ต้องจับตาคือใครจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล และใครจะมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นภาพในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวเลขคาดการณ์และวางแผนงานได้แม่นยำขึ้น

 

2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนรอฟังนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด และมีมาตรการอย่างไรในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตขึ้น โดยหัวใจสำคัญคือรัฐบาลใหม่จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อรถยนต์หรือสินค้าอื่นๆ

 

3. การขับเคลื่อนงบประมาณปี 2570 ที่ต้องติดตามว่าจะสามารถผ่านสภาฯ และเริ่มเบิกจ่ายนำมาใช้ได้ทันตามกำหนดวันที่ 1 ต.ค. หรือไม่ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจต่อเนื่อง

 

4. การสร้างบรรยากาศการลงทุน ภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่คือการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวมถึงการส่งเสริมให้นักลงทุน ไทยเกิดความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนภายในประเทศ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่คนไทยมากขึ้น

 

5. ทิศทางนโยบายการเงิน นโยบายของรัฐบาลใหม่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากมีแนวโน้มลดลงจะช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยและทำให้ประชาชนมีเม็ดเงินเหลือไปใช้จ่ายในภาคส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นหรือไม่

 

โดยสรุปว่า การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เปรียบเสมือนการเปลี่ยนตัว ‘กัปตันทีม’

 

“หากกัปตันมีความชัดเจนและนำเสนอแผนการเดินทางที่น่าเชื่อถือ ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสารและนักลงทุนพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ ก็ยังมองภาพรวมปีนี้และปีหน้าน่าจะยังทรงตัว ใกล้เคียงกัน”

 

รถยนต์ไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่แรงกดดันภาษีสหรัฐฯยังท้าทาย

 

ขณะที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC เผยแพร่บทวิเคราะห์ “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การฟื้นตัวในระยะข้างหน้าจะยังไม่ทั่วถึง และมีความท้าทายอีกมากรออยู่” ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2568 และจะเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2569-2572 โดยการฟื้นตัวจะชัดเจนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) และรถยนต์ SUV ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ขณะที่การส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์จากคู่ค้าหลักในอาเซียนและออสเตรเลียที่ผันผวน ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายอีกหลายด้านดังนั้น ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ ควบคู่กับการต่อยอดจุดแข็งเดิมในอุตสาหกรรมรถกระบะ ชิ้นส่วน และอะไหล่ยนต์ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันและการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

ภาพ: Tomohiro Ohsumi/Getty images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising