จากคนที่ตัดสินใจเข้าร่วมม็อบพันธมิตรฯ เมื่อสิบกว่าปีก่อน สู่การเลือกจะก้าวเดินร่วมทางกับม็อบคณะราษฎร 2563 บทสนทนาของ THE STANDARD วันนี้จะพาทุกคนไปร่วมกันเปิดใจรับฟัง ‘สุกัญญา มิเกล’
สุกัญญายืนยันว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขยังคงเป็นสิ่งที่สุกัญญาต้องการให้มี เพียงแต่ต้องปรับให้เท่าทันกับยุคสมัย
ขณะที่การเปลี่ยนบทบาทเป็นมนุษย์แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าการรับฟังลูกอย่างใจเย็น ไม่ใช้อารมณ์ร้อนใส่ ย่อมดีกว่าการสาดซัดด้วยอารมณ์และปิดกั้นการรับฟัง ปิดหู ปิดตา ไม่รับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา
สุกัญญายังเห็นว่ามาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญายังสามารถปฏิรูปได้ ไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือที่ใครๆ จะใช้กล่าวหาหรือแจ้งความดำเนินคดีกันเพียงเพื่อตอบสนองความเกลียดชัง โดยเปลี่ยนผู้แจ้งความเป็นสำนักพระราชวังเพื่อการตรวจสอบ ก่อนที่คดีจะดำเนินไปตามกระบวนการดังเช่นที่เป็นอยู่
อะไรที่ทำให้มุมมองของอดีตคนเสื้อเหลืองอย่าง สุกัญญา มิเกล เปลี่ยนไป อะไรทำให้เธอกล้าเสนอมุมมองเหล่านี้ แม้ว่าต้นทุนที่ต้องแลกคือการสูญเสียเพื่อนจำนวนหนึ่งในชีวิตไป ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์เจาะใจ สุกัญญา มิเกล
คำว่าประชาธิปไตยในหัวใจจริงๆ คือการอยู่ร่วมกันด้วยกติกา ไม่ว่าไปม็อบไหนก็ตาม เราต้องการความแฟร์ในชีวิตของเรา อันนี้คือพื้นฐานของเรา เพราะฉะนั้นอย่าเรียกว่าเราเปลี่ยน
ขอถามย้อนกลับไปนิดหนึ่งว่าทำไมถึงอินกับการเมือง
มันเป็นเรื่องเบสิกของมนุษย์แม่ คือตอนวัยรุ่นไม่เคยคิดถึงเรื่องประเภทนี้หรอก วัยรุ่นยุคสุกัญญา ยุค 90 รู้ๆ กันอยู่ ดนตรี สำมะเลเทเมา มีความสุขกับชีวิต เขาเรียกว่าสุขนิยม ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แล้วประกอบกับตอนนั้นเศรษฐกิจยังไม่แย่มาก เรายังอยู่กันได้แบบชิลๆ ทีนี้พอมีลูกคนแรก เริ่มคิดได้ว่าพอลูกโตขึ้น สังคมจะเป็นอย่างไร บางอย่างมันเละเทะเหมือนกัน เราก็คิดว่าอะไรที่เกี่ยวกับสังคม อะไรที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้บ้าง ซึ่งเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้วก็มีม็อบพันธมิตรฯ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2548-2549 แต่เราก็ไปร่วมในปี 2551 โดยตอนแรกมันเกี่ยวกับเรื่องการเมืองจริงๆ เลย ตอนแรกก็ยังไม่ตัดสินใจ แต่พอมีการจุดประเด็นเรื่องการล้มเจ้าก็เข้าร่วมเลย
ตอนนั้นเรื่องล้มเจ้าเป็นเรื่องที่เรายอมไม่ได้
ส่วนตัวคิดว่าคนไทยทุกคนยอมไม่ได้กับเรื่องนี้ ถึงตอนนี้เราบอกเลยนะ ถ้าใครจะล้มเจ้า เราคิดว่าคนทุกคนแม้แต่คณะราษฎรก็ไม่ยอม
แต่วันนี้เขาบอกว่าปฏิรูป ไม่ใช่ล้ม
ถูก คำว่าล้มเป็นวลีที่ถูกเอามาแปะหน้าผากของคุณโดยกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าใจเขาจะรู้ว่าคืออะไร ซึ่งมันเป็นพอยต์ที่ทำให้เราเข้าไปร่วมโดยตรงในยุคนั้น ดังนั้นที่ไปอยู่กับเสื้อเหลืองเพราะประเด็นนี้ แล้วตอนนี้ก็มีคนเสื้อเหลืองด่าสุกัญญามันเลย
ตอนเสื้อแดงได้เข้าร่วมไหม
อันนั้นไม่ เพราะมันชัดเจนมากว่าเป็นเรื่องของการเมืองโดยตรง มีการแก่งแย่งกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เรารู้สึกว่าต้องเข้าร่วม
ตอน กปปส. กลับมาอีกที
กปปส. เราไม่ค่อยอิน เพราะว่ามีนักการเมืองอยู่ เราไม่อินเลย แต่จำเป็นต้องไปเพราะเพื่อน คือเขาฉุดเขาลากไป แล้วโดยสถานการณ์บังคับให้เราต้องไป เพราะเราแก่มากขึ้น การมีกลุ่มคนที่ทำงานในวงการบันเทิงด้วยกัน พอไม่ไปเดี๋ยวก็โดนเขม่นว่าอะไรยังไง ถามว่ารู้สึกว่าแต่ละม็อบมีความน่าเกลียดไหม เราว่าไม่ ส่วนตัวคือมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในวันนั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเข้าร่วมกับคณะราษฎร
ขออธิบายแบบลึกๆ ก่อน คำว่าประชาธิปไตยมันไม่ได้แบ่งแยกหรอกว่าใครอยู่ฝั่งไหน คำว่าประชาธิปไตยในหัวใจจริงๆ คือการอยู่ร่วมกันด้วยกติกา ไม่ว่าไปม็อบไหนก็ตาม เราต้องการความแฟร์ในชีวิตของเรา อันนี้คือพื้นฐานของเรา เพราะฉะนั้นอย่าเรียกว่าเราเปลี่ยน คือวันนี้เรารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม มันไม่เท่าเทียม เราก็ออกมา บางคนบอกว่าเดี๋ยวก็ไปเกาะม็อบคราวหน้าอีก คือเกาะทุกม็อบ
สุกัญญา มิเกล กล้าพูดได้เต็มปากว่าไหมว่าไม่ได้เกาะกระแส เป็นเรื่องการเคลื่อนไหวที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรม ประชาธิปไตย
อย่าเกาะเลย เกาะก็ไม่ขึ้น บวมขนาดนี้ไม่มีทางเกาะที่ไหนรอด ไม่ได้ถูกใครกดดันให้ออกมา อย่างที่มาออกรายการคุณ เราก็คงไม่มีใครจ้างงานเพิ่ม อย่าไปคิดเรื่องนั้น มันไม่มีประโยชน์เลย ทีนี้เราจะบอกว่าถ้าประเทศไทยเรามานั่งคุยกันว่าฉันรักคนนี้ ถ้ามีปัญหา ฉันไม่ไปนะ คนนี้รักอีกฝั่งหนึ่ง พอมีปัญหา ฉันไม่ไปนะ มันกลายเป็นเหมือนแบ่งข้างเพื่อต่อสู้กัน ถูกไหมแต่ถ้าเราเป็นประชาชนธรรมดา ทำไมเราไม่คิดว่าอะไรถูกอะไรผิดในแต่ละสถานการณ์ โง่ก็ยอมรับว่าโง่ ผิดก็ยอมรับว่าผิด แล้วก็แก้ไขเสีย อะไรเรารู้ว่าผิดก็แก้ไข เรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร จะนั่งอยู่กับความผิดไปจนตาย คุณมีความสุขไหมล่ะ
จุดที่เราเริ่มเปลี่ยนคือพอประเทศนี้เจอสถานการณ์ที่มีรัฐประหาร แล้วเราต้องอยู่อย่างนั้น มันมีมาตรา 44 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใครอ้าปากอะไรก็ไม่ได้ อันนี้ต้องเข้าใจกันก่อนว่ามันเป็นความจริง แล้วมันสะสม เพราะเริ่มต้นตั้งแต่ปีแรก แล้วพอเข้ามาเริ่มปีที่ 2 มันเริ่มมีผลกระทบกับชีวิตแล้ว การงานเริ่มลดลง เริ่มมีกฎระเบียบในการที่จะควบคุมผู้คน โดยเฉพาะโลกกลางคืนของเรามีผลเยอะเลย ทุกวันนี้คือตายหมดแล้ว
รัฐบาล คสช. ทำให้คุณถูกควบคุมไปหมด
ใช่ ซึ่งตอนนี้เราถามตัวเองและคนอื่นด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน จะเป็นข้าราชการหรือพลเรือนก็แล้วแต่ ถ้าเขาขึ้นมามีอำนาจแล้วควบคุมชีวิตคุณ คุณไม่มีอิสระที่จะเลือกเองได้ ทำมาหากินแบบที่คุณเป็นได้ คุณโอเคกับมันไหม
เราไม่โอเค นั่นคือจุดเริ่มต้นที่รู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวว่าข้างไหนหรือขั้วไหน แต่ ณ ตอนนี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนี้ ตั้งแต่ คสช. มาจนถึงตอนนี้ แม้จะมีการเลือกตั้งมาแล้ว แต่ก็เป็น พล.อ. ประยุทธ์
การเลือกตั้งก็เป็นกติกาที่ไม่เวิร์กอีก เป็นกติกาที่เอียงกระเท่เร่มากเลย ถ้ามันไม่เอียงจะยอมรับ แต่พอเอียง แถมมีเขย่ง แถมมีปัดเศษ มันไม่แฟร์ ประกวดนางงาม นางงามตัวดำ กับอีกคนหนึ่งขาว แต่คนตัวดำเก่ง บอกไม่เอา เพราะว่าคนนี้มีเส้น อย่างนี้มันแฟร์ไหมล่ะ
การที่คุณชัดเจนแบบนี้มันมีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจ กระแสที่ได้รับมาเป็นอย่างไร
สนุกสนาน (หัวเราะ) คือทางฝั่งพี่น้องประชาธิปไตยจ๋าๆ เขาก็ด่า ด่ากันมานานแล้วล่ะ ด่ามาตั้งแต่ปี 2551 แล้ว การด่าของเขาก็เป็นเรื่องเคยชิน ตอนนี้มีใหม่คือกลุ่มพันธมิตรฯ ก็แชร์แล้วไปด่ากันสนุกสนาน หนักกว่าฝั่งประชาธิปไตยเยอะเลย คือเราไม่ได้ว่านะ แต่ไปคิดเอาเองแล้วกัน คือพอมีหัวอนุรักษ์จ๋ามากๆ กับหัวใหม่จ๋ามากๆ เลย มันหากันตรงกลางไม่เจอ ก็ต้องฟังทั้งสองฝ่าย บางอย่างอนุรักษ์ที่เราเห็นว่าดีงามก็ยังอยู่ด้วย กับบางอย่างของใหม่ที่เราเห็นว่าดีมากๆ เราก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงด้วย ก็เป็นที่งุนงงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเราก็ไม่สนใจ คุณก็งงของคุณไป ไม่เกี่ยวกับเรา
มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่นกสองหัว
เราจะเป็นคนนกสองหัวได้ถ้าประเทศนี้ปกครองระบอบเดียว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ประเทศนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น เรามีอนุรักษนิยมกับมีประชาธิปไตยอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งของที่จัดว่าใหม่ ยังไม่ถึง 100 ปี ดังนั้นสุกัญญาจะเป็นนกสองหัวไม่ได้
แล้วมีคนว่าแบบนี้ไหม
มีๆ เรียกเราเป็นปลวก เป็นชอนไช เป็นพวกชั้นต่ำ
ถ้าเราเป็นประชาชนธรรมดา ทำไมเราไม่คิดว่าอะไรถูกอะไรผิดในแต่ละสถานการณ์ โง่ก็ยอมรับว่าโง่ ผิดก็ยอมรับว่าผิด แล้วก็แก้ไขเสีย อะไรเรารู้ว่าผิดก็แก้ไข เรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร จะนั่งอยู่กับความผิดไปจนตาย คุณมีความสุขไหมล่ะ
ทุกวันนี้เห็นคอมเมนต์แบบนี้รู้สึกหงุดหงิดบ้างไหม
ไม่รู้สึก มองทุกคนและทุกข้อความด้วยความเข้าใจ เพราะสังคมเรายังไม่ข้ามพ้นการเป็นประเทศโลกที่สามนะ ความเป็นประเทศกำลังพัฒนาจะ ‘กำลัง’ ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่คนไทยยังใช้อารมณ์มานำเหตุผลไปเรื่อยๆ เขาก็จะเถียงว่าคุณอย่าพูดหยาบสิ ฉันจะได้มีเหตุมีผลกับคุณ นั่นคือคุณกำลังเอาอารมณ์เป็นตัวตั้ง แม้ว่าคนคนนั้นจะบอกว่าแค่ไม่ชอบคำหยาบคาย ทำไมเราดูหนังต่างประเทศ เราเห็นผัวเมียทะเลาะกันเยอะแยะกลับนั่งดูได้ แต่พออยู่ในบ้าน สมมติเราพูดกูมึงกับคู่ของเรา คุณกลับโกรธเราจนจะฆ่ากันตายเลยหรือ เอาแค่นี้ ถ้าตัดเรื่องอารมณ์ออกไปได้ ประเทศนี้ก็จะเจริญได้ เพราะเราจะพูดกันได้ทุกเรื่อง แล้วเราจะหาข้อสรุปได้ว่ามันต้องเปลี่ยนอะไร จะต้องทำอะไร
จะบอกว่าคำหยาบคายไม่ใช่ประเด็น?
ถ้าไม่ถึงขนาดจะเอาไม้ตีหัว เขาด่าพ่อเราก็ไม่ได้ไปเจ็บปวดที่พ่อเราหรอก มันก็เจ็บปวดที่ตัวเรา เพราะรู้สึกว่ามันเจ็บปวด มันเป็นอารมณ์ของคุณ
ไปร่วมม็อบตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ และ กปปส. ที่ถูกลากไป จนมาถึงคณะราษฎร ความรู้สึกเหมือนกันไหม
บอกเลยนะ ไม่ว่ากี่ม็อบก็ตาม คนอยู่รวมกันจำนวนมากแล้วถูกบิลด์ มันมีกันได้ทุกคน ไม่มีม็อบไหนนั่งพับเพียบเลย คือถ้าบอกว่าให้หยุดอารมณ์แล้วก็พูดคุยกันด้วยเหตุผล ต้องไปดูด้วยว่าเขาโดนอะไรบ้าง เหมือนอย่างคนที่จะไม่โกรธแบบเราที่โดนด่าทั้งสองฝั่งจะมีได้สักกี่คน เรื่องนี้มันต้องเป็นการฝึกฝนของคนอายุเยอะๆ หน่อย
ต้องถือว่าคุณอึดมากที่โดนด่าจากทั้งสองฝั่ง
ไม่จริง เราเดินตามอายุเรา แต่หลายคนที่ไม่ใช่แบบนี้คือเป็นเฒ่าทารก มนุษย์เราแก่ไม่ได้แก่ด้วยอายุ ด้วยตีนกา แต่แก่ด้วยประสบการณ์ ความคิด การวิเคราะห์ แต่หลายคนไม่ค่อยเอาการคิดวิเคราะห์มาใช้ในชีวิตคุณ คือใช้กับลูกก็ต้องวิเคราะห์ เวลาจะพูดหรือตัดสินใจอะไรบางอย่างก็ต้องวิเคราะห์หมดเลย ด้วยความที่เราฝึกเรื่อยๆ ตามวัย ด้วยความเป็นมนุษย์แม่ เราฝึกกับลูกเรา เราลดอารมณ์ลงได้มากจากการที่เรามีลูกเลยนะ คือเรารักลูกมาก เมื่อเรารักเขา เราจะสอนเขา ถ้าอารมณ์เราขึ้น เราไม่สอน เอาแต่รอ ใช้วิธีถอนหายใจยาวๆ แล้วถามว่า “ไหน บอกมา” พอเขาบอกมาเราเริ่มเข้าใจ บางครั้งเรารู้สึกผิดด้วยซ้ำที่เราโกรธก่อน ซึ่งถ้าใช้แบบนี้ได้กับทุกคนในสถานการณ์นี้ มันจะลดไปได้เยอะมาก เราจะไม่เจอลูกกระด้างกระเดื่องกับเรา ถ้าเราไม่คุยกับลูกรุนแรง ถ้าเราไม่ทำอะไรรุนแรงกับเขา ถ้าเราอยากเห็นเด็กดื้อ คุณจงบังคับเขาเยอะๆ ถ้าคุณอยากเห็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง มีการครีเอต มีการโต้ตอบ เราจะได้อะไรจากเขาเยอะเลย เราจะได้เรียนรู้สิ่งที่เขารู้มาแล้วเราไม่รู้ ล่าสุดลูกมาบอกว่าเซเว่น-อีเลฟเว่น จุดกำเนิดอยู่ที่อังกฤษ แล้วตัว n ข้างหลังทำไมถึงไม่เป็นตัวใหญ่ ก็เพราะมันเป็นแม่เหล็กเอาไว้ดูดทรัพย์ เราก็ได้รู้ว่าเขาคิดแบบนี้ คือถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็โตตามวัยโดยที่ลดอีโก้ลง เราคุยกับลูกเหมือนคุยกับเพื่อน ให้เขาเป็นเพื่อนเรา
เริ่มคิดวิเคราะห์ได้มากกว่าแต่ก่อนจากการที่ฝึกกับลูกใช่ไหม
เราเย็นลงมาก แต่ถ้ายืนด่าตรงหน้าแล้วปรี่เข้ามา เราต่อยนะ ป้องกันตัว แต่ถ้ายืนอยู่ตรงโน้น ตะโกนๆๆ เดี๋ยวเขาก็คอแหกไปเอง
จุดที่ทำให้คุณเปลี่ยนและมีจุดยืนอย่างทุกวันนี้คืออะไร
เราอยากให้มีอนาคตที่ดีสำหรับลูกเรา
แล้วผลกระทบเป็นอย่างไรบ้าง
มันเดือดมาก มันจะมีการตราหน้าว่าล้มเจ้า ใครพูดถึงสถาบันฯ เท่ากับคุณล้มเจ้า พอมีธงชาติ บอกตรงๆ นะว่าเราเกิดอาการกลัว หรืออย่างที่เขาทำกับคนไม่ยืนตรงตอนร้องเพลงชาติ เรากลัวเข้าไปใหญ่เลยนะ นี่ถ้าเราเผลออยู่ตรงไหนแล้วไม่ยืนตรง เขาตบเราได้เลยนะ
แล้วเพื่อนๆ ของคุณล่ะ
เพื่อนๆ ที่มีความคิดแบบนั้น ดูมีความน่ากลัวสำหรับเราก็อันเฟรนด์ มีทั้งเขาอันเฟรนด์เรา เราอันเฟรนด์เขา เป็นเทศกาลแห่งการถอดหน้ากาก
เสียดายหรือเสียใจเรื่องนี้บ้างไหม
ถามว่าเสียดายไหม เราไม่เสียดาย เพราะว่าคำว่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป แต่ละอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรืออุณหภูมิมันลดลง พอฤดูหนาวเราก็จะจับมือกันกินเบียร์ได้ แต่ถ้าใครปรับความเข้าใจกับเราไม่ได้ มันเสียเวลาในการทะเลาะ ก็ต้องปล่อยไป
มีกรณีตัวอย่างไหม
คนที่เคยรักกันมากๆ เป็นเวลาสิบๆ ปี แล้วเขารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่แบบเดียวกับเขา ไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา แล้วเราส่งอะไรบางอย่างให้เขาดูที่คิดว่าเขาน่าจะสนใจในการปรับเปลี่ยนที่จะรับรู้ แล้วเขาก็โต้กลับมาว่า “ก็แล้วแต่น้องนะ ก็คิดเอาเองนะ” เรารู้สึกได้ถึงการปล่อยมือ เราไม่ทะเลาะนะ เราตีความจากที่เขาส่งมาได้ว่าไม่จำเป็นต้องคุยแล้ว แปลว่าไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เรานำเสนอ แต่เขาใช้วิธีปล่อยมือเราด้วยคำว่า “แล้วแต่น้องนะ คิดเอาเองนะ” นั่นหมายความว่าคุณจะไม่เปิดรับฟังอะไรเลยหรือ ไม่ทำความเข้าใจกับอะไรเลยหรือ เราก็ต้องปล่อยเหมือนกัน คือรู้จักกันมาสิบกว่าปี มีความเชื่อมั่นในกันและกันพอสมควร แต่กลายเป็นว่าข่าวสารที่เราได้รับมากับที่เขาได้รับมาอีกด้านหนึ่งมันต่างกัน แล้วเกิดความเข้าใจต่างกัน แถมกลายเป็นเพื่อนที่ไม่ยอมรับข้อมูลซึ่งกันและกันอีก ไม่เกิดการแชร์ มีแต่การถอยแล้วปล่อยมือ มันก็น่าเสียดาย
อันนี้เป็นข้อดีของเรา เราอ่านหมด ทั้งของต่างประเทศด้วย ดังนั้นเราเรียนรู้จากอดีตแล้วว่าการมองแค่มุมเดียวหรือข้อมูลที่เราได้แค่มุมเดียวมันไม่เวิร์ก มันทำให้เราคิดวิเคราะห์ได้ไม่ครบถ้วน เรารู้สึกแย่กับมันมากจากการที่เราไม่วิเคราะห์ให้ครบถ้วน
อย่างพี่คนนั้นที่เขาปล่อยมือคุณไป คิดว่าจะได้กลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้งเมื่อวันที่ประเทศกลับเข้าสู่จุดสมดุลไหม หรือจะต้องเลือกข้างอยู่คนละฝั่งตลอดไป
ความจริงเราเป็นพวกหักด้ามพร้านะ ขาวคือขาวเลย แล้วมีคนชอบมาบอกเราว่ามนุษย์เราต้องอยู่แบบเทาๆ แต่เราไม่เอานะ เราเอาถูกกับไม่ถูกเลย แล้วเราจะถูกตีหัวบ่อยมาก เพราะถูกของเราไม่ตรงกัน ถามว่าในอนาคตกลับมาคุยกันได้ไหม กลับมาได้ แต่สายใยแห่งความแนบแน่นมันขาดไปแล้ว คือคุยได้ แต่ไม่เหมือนเดิม เพราะคุณไม่เปิดรับการแชร์จากเรา เสมือนว่าถ้าตอนนี้ถ้าทุกคนเปิดรับการแชร์จากน้องๆ จากกลุ่มชาวบ้าน เราจะได้ความสัมพันธ์ที่แน่นขึ้น จะรู้เลยว่าต้องเปลี่ยนตรงไหน จะแก้ตรงไหน ถ้าทุกคนยังขึงขังจะไม่เกิดการรับฟัง
มาถึงขณะนี้จุดยืนของคุณเป็นอย่างไร ตอนนี้สังคมมองว่า สุกัญญา มิเกล เลือกข้างนี้ คิดแบบนี้ คาดหวังอะไรกับบทสรุปของสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เหมือนกับ 3 ข้อเรียกร้องของคณะราษฎรไหม
ก็จะพูดสวยๆ ว่าประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ความหมายของมันคือประชาธิปไตยหมายถึงการอยู่ร่วมกันแบบเท่าเทียม ทุกคนได้รับผลประโยชน์แบบเท่าเทียมกัน มีกฎหมายควบคุมไม่ให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อ มีกฎหมายไม่ทำให้มีใครกินส่วนเกินของคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องแย่กว่าแล้วเราได้มา ตรงนี้คิดว่าประเทศไทยจะต้องมี เพราะมันเคยมี แล้วเราก็เติบโตมากับสิ่งนี้ และระบอบที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขต้องมี มีแบบทันสมัยมากขึ้น มีแบบแฟร์มากขึ้น มีหลายชีวิตมากเลยที่ต้องสูญเสียไปกับการโดนคดี เช่น เราพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย ก็โดนแจ้งคดี ถ้ามีคนหมั่นไส้เราเหมือนที่เราโดนอยู่ตอนนี้ เราเกือบโดนแจ้งมาแล้วด้วย แล้วเราไม่สามารถต่อกรโต้แย้งได้ ถ้าเราถูกเอาไปไว้ที่หนึ่งเป็นเวลา 3 ปี 5 ปี ชีวิตลูกเราเสีย สุขภาพเราเสีย จิตเราเสีย ถ้ามีพ่อแม่เรา พ่อแม่เราเสีย เราเสียความเป็นมนุษย์ไปเลย
ทำไมถึงไม่อยากให้แก้ตรงนี้ คืออยู่แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้เห็นความเป็นสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโลกจนไม่ใช่เป็นประเทศโลกที่สามอยู่ทุกวันนี้ แต่ไอ้ที่บอกๆ ว่าฟ้องได้ไหม ฟ้องได้ หรือแม้ประชาชนจะโดนฟ้องก็ได้ สมมติว่าเราไม่ดี เราหยาบคาย อาฆาตมาดร้าย ไม่ใช่คุณที่จะฟ้องเรา นี่มุมมองส่วนตัวของเรานะ เอาหลักฐานไปยื่นให้สำนักพระราชวัง แล้วสำนักพระราชวังตรวจทาน ต้องตรวจทานก่อนว่าข้อมูลที่เอามาถูกต้องไหม มีหลักฐานตรงไหน ชัดเจนไหม ถ้าชัดเจนเสร็จก็แจ้งความ เรียกตัวไป
มันต้องไม่มีระบบกล่าวหาแล้ว นี่คือสิ่งที่เราคาดหวังว่าประเทศไทยต้องปรับ ระบบกล่าวหามันทำลายชีวิตคน การเล่นแง่กฎหมายที่หยุมหยิม มันไม่ได้เอารัฐธรรมนูญมาคลุม มันเหมือนรัฐธรรมนูญไม่ได้ใหญ่ แต่กฎหมายนี้ใหญ่ กลายเป็นว่าคนนี้ออกมาตะโกนโวยวาย แต่ไม่ได้ฟังว่าเขาตะโกนอะไร เขาตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า แต่กลับไปบอกว่าไอ้ข้างบ้านนี่หนวกหูมากเลย ตำรวจมาจับไปเฉย ทั้งๆ ที่กำลังจะโดนข่มขืนอยู่ คือกฎหมายเล็กมันใหญ่กว่ากฎหมายใหญ่ไปแล้ว มันเกิดความไม่แฟร์กับชีวิต ถ้าเราปรับอะไรให้ใช้ร่วมกันได้อย่างยุติธรรมกันหมด ไอ้คำว่าศักดินาจะไม่มีใครพูดถึงเลยนะ
คิดว่าจะมีวันไปถึงวันนั้นไหม
ถ้าหลายๆ คนที่มีผลประโยชน์ยอมนั่งคุยแบบที่คุยกับเรา เราคิดว่ามันเป็นไปได้
สิ่งที่ยากที่สุดคือการรับฟัง
ไม่ใช่ คนเสียประโยชน์เขาไม่ยอม ไม่ใช่ว่าไม่รับฟัง เขารับฟัง แต่ไม่ยอม
เพราะฉะนั้นต้องให้เขาปล่อยผลประโยชน์
เราไม่รู้หรอกนะว่าผลประโยชน์ที่เขามีกันคืออะไร แต่มันกัดกร่อนประเทศ ไม่ใช่แค่คุณร่ำรวยอยู่กลุ่มเดียวแล้วประเทศนี้จะอยู่ได้ ถ้าคนระดับคุณ หรือน้องๆ ทีมงาน หรือคนที่เป็นเกษตรกร ต่างคนต่างแย่กันหมด ถามว่าประเทศนี้ล้มไหม คือแค่อยากจะเห็นการเสียสละส่วนตนลงบ้าง แล้วมองส่วนกว้างๆ กันสักหน่อย คืออยากเห็น รู้ว่ายาก เพราะไม่ได้อยู่ในกมลสันดานของคนบ้านเราสักเท่าไร แม้แต่ตัวเราก็เห็นแก่ตัวนะ อันนี้ต้องยอมรับ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ที่แย่มาก แย่ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว แล้วตอนนี้ก็แย่กว่า
ไม่ใช่ว่าใครไม่อยากแย่ก็ต้องไปหากินข้างนอก ตอนนี้มันต้องช่วยกัน เปลี่ยนแปลงได้ ปรับได้ก็ปรับก่อน แล้วการปรับไม่ใช่ปรับเพียงชั่วครู่ และที่เราอยากเห็นสุดๆ คือไม่อยากให้มีรัฐประหารอีกแล้ว
แต่การต่อสู้ทั้งของพันธมิตรฯ และ กปปส. จบลงด้วยรัฐประหาร
เราถึงอยากออกมาพูดว่าเป็นการไตร่ตรองที่ไม่รอบคอบของเรา ถ้าเรารู้ว่าการประท้วงรัฐบาลต้องจบลงด้วยรัฐประหาร เราจะไม่ร่วมเลย นั่นหมายความว่าประเทศนี้ต้องประกาศใหม่ว่าไม่ใช่เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้มีประท้วงก็เป็นอย่างเดียว แต่ถ้าจะเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย อยากจะเสวนากับต่างประเทศได้ คุณต้องยอมรับการประท้วง ไม่ใช่ทำลาย เอาทหารมากวาดเรียบ ถ้าประเทศนี้ไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีรัฐประหาร ประเทศนี้จะดีขึ้น
ถ้าเรารู้ว่าการประท้วงรัฐบาลต้องจบลงด้วยรัฐประหาร เราจะไม่ร่วมเลย นั่นหมายความว่าประเทศนี้ต้องประกาศใหม่ว่าไม่ใช่เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้มีประท้วงก็เป็นอย่างเดียว แต่ถ้าจะเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย อยากจะเสวนากับต่างประเทศได้ คุณต้องยอมรับการประท้วง ไม่ใช่ทำลาย
ถ้าสมมติม็อบชนม็อบ มีการนองเลือดเกิดขึ้น นั่นเป็นข้ออ้างชั้นดีที่จะเกิดการรัฐประหาร คุณจะแนะนำอย่างไร
มันเป็นไดอะล็อกเดิม ถ้าคนที่ผ่านๆ มามีสติดีและเรียนรู้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร เราก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ถ้ารู้ว่าไดอะล็อกเดิมทำให้การฆ่ากันเกิดขึ้น ทำไมเราไม่หยุดลงก่อน ถ้าโกรธแล้วทำไปเลย มันมาเลยนะ มันเหมือนบางอย่างที่คลิกเดียวแล้วมันไปเลยนะ ถ้าเราหยุดการโกรธและหยุดการเห็นแก่ตัวโดยการปั่นก่อน อะไรที่ไม่จริงก็อย่าทำ ถ้ารักกันจริง
แล้วขอพูดนะ ต้องขออภัยหลายๆ ท่าน ถ้ารักสถาบันฯ จริง อย่าปั่นให้คนเกลียดกันโดยบอกว่าคนรักสถาบันฯ ทำแบบนั้นแบบนี้ได้ หรือเป็นตัวอย่างว่าไปตีเขามาแต่ได้รับการอภัย แบบนี้คุณยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าสถาบันฯ แย่ลงไปเรื่อยๆ อันนี้เราอยากฝาก
เห็นด้วยไหมกับการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ที่มีคนจากทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยกัน
เขาจะตีกันเองไหม ขอดูก่อนนะ คือเราก็เจอสิ่งที่โดนหลอกหลอนโดยการที่เรามี ส.ว. ที่เขาสรรหา แต่สรรหามาจากคนคนเดียว กับคณะกรรมการที่มานั่งคุย ปี 2553 ก็มีสมานฉันท์ แต่มันสมานได้ไหม เราว่าไม่ใช่ คณะสมาน ไม่ใช่การสมาน
มันต้องเอาปัญหาไปวางบนโต๊ะ แล้วมีคนมาช่วยกันวิเคราะห์ ข้อนี้แก้อย่างไร แล้วลงมติฝั่งไหน เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย มีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร แต่ไม่ใช่มาบอกว่าอย่าทะเลาะกันนะ มันสายไปแล้ว เพราะปัญหามันเกิดมานาน มันต้องแก้ ไม่ใช่ว่าทุกคนมานั่งเป็นอัศวินโต๊ะกลม มันต้องมาโหวตว่าปัญหาแบบนี้ ได้แบบนี้ เสียแบบนี้ ได้กี่คะแนน
สมมติว่าวันหนึ่งแกนนำถูกดำเนินคดีไป ทุกคนยอมรับว่า สุกัญญา มิเกล เข้าใจแนวคิดของคณะราษฎรดี ถ้าต้องไปเจรจาล่ะ
ถ้าเจรจากับคนที่คิดว่าฉันจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่เกิดประโยชน์ที่จะคุยด้วย ทะเลาะกันตาย แต่ถ้าคิดว่ามันต้องแก้ แล้วมาคุยกันว่าต้องแก้แบบไหน อันนั้นเอา
แบบนี้ในอนาคตอันใกล้ที่สุดต้องการอะไร
ส่วนตัวนะ เราอยากให้เขาหยุดม็อบด้วยการที่รัฐบาลเอาสิ่งที่เขาเรียกร้องมาดูว่าแก้ได้ไหม เขาคือคนไม่มีอำนาจ ถึงกลุ่มคนจะเยอะมากๆ แต่ก็เป็นแค่ประชาชน เขาเรียกร้องมา คนมีอำนาจต้องกางออกมาดูว่ามีข้อเรียกร้องอะไร ถ้าคนมีอำนาจไม่เอา รับรองว่าไม่หยุด
แบบนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกเลยไหม
สมมตินะ ถ้าเราทำงานกับคุณ เราเป็นบัดดี้กับคุณ อยู่มา 6 ปีแล้ว เราทำให้คุณขายหน้า ด่าคุณตลอดเลย แล้วทำผิดพลาดอยู่เรื่อย ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังอยากให้เราอยู่กับคุณไหม
ถ้าอย่างนั้นเชื่อว่าน้องที่ออกมาม็อบพร้อมจะหยุดไหม
เราเชื่ออย่างนั้น เพราะว่าการที่คนคนหนึ่งทำบางสิ่งบางอย่างให้ใครคนหนึ่ง นั่นหมายถึงการแสดงออกแล้วว่าฉันเปิดรับนะที่จะมานั่งคุยกัน มันจะทำให้ความรุนแรงลดลง แล้วถ้ามาตอแหลเขาอีก ทีนี้หนักเลย มันต้องจริงใจกันแล้ว
ถ้า พล.อ. ประยุทธ์ ลาออกจริงๆ ม็อบจะหายไปชั่วคราวไหม
ส่วนตัวเราคิดว่าหยุด เพราะว่ามันเป็นหลักจิตวิทยาพื้นฐานสุดๆ
สิ่งที่คุณเรียนรู้ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาจากการไปร่วมชุมนุมหลายฝ่าย ตอนนี้อยากฝากอะไรบ้าง
สิ่งที่เราเห็น 3 ครั้งคือ ความรุนแรง รุนแรงมาก รุนแรงน้อย เพราะว่าแต่ละม็อบเขาก็จะมีสายของเขา ความรุนแรงนั้นมันก่อเกิดจากอะไร มันก่อเกิดจากความเชื่อ พอฟังเสร็จแล้วเชื่อ เห็นนิดเดียวก็เชื่อ แล้วก็ปิดหูปิดตา ไม่ฟังรอบด้าน ไม่วิเคราะห์ด้วยนะ เพื่อนบอกมาแล้วเชื่อ อย่างเช่นรูปบางรูปในสมัยก่อนมันก็มีปัญหาเหมือนกันในเรื่องนี้ เราก็เคยโง่มาก่อน อย่างสมัยนี้เจออะไรก็ตาม เราจะค้นหาก่อนเพื่อที่จะลงความเห็นว่าอย่างนี้เราเชื่อได้ แต่เราจะบอกว่า 3 ครั้งที่ผ่านมา ความรุนแรงมันเริ่มจากสิ่งเล็กๆ สิ่งที่คุณเห็นแล้วได้ยิน เห็นแล้วอย่าเพิ่งจี๊ดเข้าในหัวใจ เห็นแล้วให้ ‘เหรอ’ เอาไว้ก่อน แล้วก็ไปค้นหา ถ้าคุณค้นหาแล้วเจอความจริง คุณจะรู้ว่าวันที่คุณโกรธเป็นวันที่คุยด้อยค่ามากเลย แล้วถ้าคุณเผลอโกรธจนไปทำคนอื่นตาย มันจะไปต่างจากภาพในอดีต เราไม่อยากเห็นใครบางคนที่รู้สึกว่าหัวเราะได้เหมือนเด็กในภาพนั้น เราไม่รู้ว่าทุกวันนี้เขาอยู่ไหน เขารู้สึกอะไร
เราอยากให้เขาหยุดม็อบด้วยการที่รัฐบาลเอาสิ่งที่เขาเรียกร้องมาดูว่าแก้ได้ไหม เขาคือคนไม่มีอำนาจ ถึงกลุ่มคนจะเยอะมากๆ แต่ก็เป็นแค่ประชาชน เขาเรียกร้องมา คนมีอำนาจต้องกางออกมาดูว่ามีข้อเรียกร้องอะไร ถ้าคนมีอำนาจไม่เอา รับรองว่าไม่หยุด
ถ้าขอพรวิเศษให้เสกได้หนึ่งอย่าง คุณจะเสกอะไร
การปฏิรูป จะเสกให้คนที่มีอำนาจทำมันจริง มันมีหลายอย่างในประเทศนี้ที่ต้องปรับเปลี่ยน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์