วันนี้ (30 เม.ย.) เวลา 10.00 น. นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่สำนักงานอัยการภาค 7 จังหวัดราชบุรี ถึงกรณีที่อัยการสูงสุดได้ส่งความเห็นชี้ขาดกลับมาให้ทางอัยการภาค 7 ได้สั่งฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูตร ผู้บริหารอิตาเลียนไทยฯ กับพวกรวม 4 คนว่า ทางอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วและมีความเห็นพ้องกับอัยการภาค 7 คือให้ฟ้อง 6 ข้อหา ส่วนที่ทางตำรวจภูธรภาค 7 ขอให้เพิ่มอีก 3 ข้อหา นั้นก็ตกไป
สำหรับ 6 ข้อหาที่สั่งฟ้อง ได้แก่ 1. ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 3. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4. ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่า 5. ร่วมกันซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย และ 6. ร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนอีก 3 ข้อหาที่อัยการเห็นควรไม่สั่งฟ้อง ได้แก่ 1. ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า และ 3. ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนกรณีที่นายเปรมชัยได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการภาค 7 ขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อยู่ของนายเปรมชัย ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ พร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย และขอให้สอบสวนเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก 3 คน รวมทั้งให้สอบสวนบุคคลภายนอกและนายวิเชียร ชิณวงษ์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนั้น คณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาแล้วเห็นว่า เอกสารที่นายเปรมชัยส่งมาประกอบคำร้องขอความเป็นธรรมและพยานที่อ้างถึงมิใช่พยานที่เกี่ยวข้องในคดี เป็นเพียงผู้ที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเท่านั้น ส่วนพยานที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่นายเปรมชัยร้องขอความเป็นธรรมนั้น ได้มีการสอบสวนพยานดังกล่าวไว้แล้ว คำร้องขอความเป็นธรรมของนายเปรมชัยจึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดี จึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามประเด็นที่นายเปรมชัยร้องขอ
ทั้งนี้อัยการจังหวัดทองผาภูมิได้ยื่นฟ้องนายเปรมชัยกับพวกรวม 4 คน ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ ตามคำสั่งฟ้องของอธิบดีอัยการภาค 7 ทันในวันนี้ (30 เม.ย.) ส่วนมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจำนวนเงิน 3,012,000 บาท