ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Subaru ประกาศผลประกอบการทั่วโลกช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2024 (เมษายน-มิถุนายน 2023) พบว่าการผลิตทั่วโลกอยู่ที่ 243,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.3% ส่งผลให้มียอดขายอยู่ที่ 236,000 คัน เพิ่มขึ้น 20.3% แม้จะประสบปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ก็ตาม ขณะที่บ้านเกิดอย่างประเทศญี่ปุ่นผลิตไปแล้ว 159,000 คัน เพิ่มขึ้น 17.1% ส่วนสหรัฐอเมริกาผลิตไปแล้ว 84,000 คัน เพิ่มขึ้น 19.1% ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปีงบประมาณดังกล่าวจะสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 4,200 ล้านเยน (ประมาณ 10,100 ล้านบาทไทย)
ทั้งนี้ Subaru ได้ประกาศเป้าหมายสำคัญด้วยการเตรียมรุกตลาดกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV แบบเต็มกำลัง โดยมีแผนจะแนะนำรถยนต์ EV 8 รุ่น ภายในปี 2028 โดยวางกลยุทธ์ยอดขายไว้ที่ 600,000 คัน หรือสัดส่วน 50% ของยอดขาย Subaru ทั้งหมดในปี 2023 โดยลงทุนสูงถึง 1.5 ล้านล้านเยน (ประมาณ 361,000 ล้านบาทไทย) เพื่อพัฒนารถยนต์ EV ออกสู่ตลาดทั่วโลก โดยได้แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ก่อนปี 2026 จะแนะนำรถยนต์ EV 3 รุ่น จากนั้นก่อนปี 2028 จะเปิดตัวเพิ่มอีก 4 รุ่น รวมไปถึง Subaru Solterra ที่เปิดตัวและจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ และมีแผนเริ่มการผลิตรถยนต์ EV ของ Subaru ในปี 2025 และในสหรัฐอเมริกาปี 2027 ส่วน 50% ที่เหลือจะเป็นกลุ่มพลังงานไฟฟ้า xEV อย่างไฮบริดที่ Subaru มีแผนจะแนะนำออกสู่ตลาดอีกด้วย
แม้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกอย่าง Subaru Solterra อันเป็นผลผลิตร่วมกันของ Toyota bZ4X จะจำหน่ายในสหรัฐฯ ไปแล้ว 3,730 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 1% ของยอดขายทั้งหมด แต่ Subaru ไม่ลดละในการลุยตลาด EV จึงเตรียมแผนพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเจเนอเรชันใหม่ โดยได้ Panasonic มาร่วมพัฒนาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2020 และมีแผนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ EV ที่จังหวัดกุนมะ ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย
ถือเป็นการขยับตัวครั้งสำคัญของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงในด้านมอเตอร์สปอร์ต และเครื่องยนต์สูบนอน Boxer อันเป็นเอกลักษณ์ของ Subaru ซึ่งการตั้งเป้า 50% ของยอดขายในแบรนด์ทั้งหมดเป็น EV เป็นความท้าทายของแบรนด์ญี่ปุ่นภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือด การเปลี่ยนเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น และความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น
อ้างอิง: