วันนี้ (27 ตุลาคม) นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกรรมาธิการ แถลงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษา หลังได้รายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภา
นพดลเปิดเผยว่า ขณะนี้มี 3 แนวทางที่เป็นไปได้ คือ คงอยู่, ปรับปรุง หรือ ยกเลิก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องเก่าแก่ ซับซ้อน และมีข้อมูลจำนวนมาก รวมถึงต้องคำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศ กมธ. จึงจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาหากดำเนินการเสร็จก่อนก็จะรายงานต่อวุฒิสภาทันที แต่ถ้าจะขยายเวลาส่วนใหญ่จะขอ 90 วัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุดก่อนตัดสินใจ
นพดลย้ำว่าเป้าหมายสำคัญของ กมธ. คือการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ความถูกต้องตามกฎหมายและประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจริง เพื่อนำเสนอให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ก่อนที่จะมีการตัดสินใจทำประชามติต่อไป ซึ่งการตัดสินใจในเรื่องนี้ต้องปราศจากอคติ
“การตัดสินใจในเรื่อง MOU 2543 และ 2544 นั้นเราจะต้องดูให้รอบคอบรอบด้านโดยไม่มีอคติ ไม่ใช้อารมณ์ ใช้แต่ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจในเรื่องนี้ การที่จะคงอยู่ หรือจะปรับปรุง หรือยกเลิก ต้องมีเหตุผล มีแนวทางให้กับรัฐบาลในการดำเนินการต่อไป”
นพดล ยังกล่าวชื่นชมรัฐบาลที่ล่าสุดได้ลงนามปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องการปักปันเขตแดนใน MOU 2543 ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะสร้างสันติภาพ และจะทำให้การละเมิดข้อตกลงเกิดขึ้นได้ยากขึ้น เพราะมีหลายประเทศเป็นสักขีพยาน
นพดลระบุต่อว่า ในเวทีสหภาพรัฐสภาโลก (IPU) ถือว่าประเทศไทยเป็นพระเอกในเวทีโลก สามารถเสนอวาระเร่งด่วนเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ทำให้กัมพูชาไม่สามารถกล่าวหาประเทศไทยได้อย่างที่ตั้งใจ และจากการลงนามปริญญาเมื่อวานนี้นอกจากเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ยังเป็นประโยชน์ในเรื่องของภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก
เพราะเรามักพูดเสมอว่าต้องการสันติภาพและความสงบ ไม่ต้องการการสู้รบ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกได้เห็นว่า สิ่งที่ไทยพูดและทำเป็นสิ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กมธ. ยังไม่ได้ตัดสินใจ ว่าจะยกเลิก MOU หรือไม่ เพราะข้อมูลยังไม่สมบูรณ์


