วันนี้ (5 มีนาคม) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 ให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ซึ่งออกตามความในประกาศของ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 โดยกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ ทรงผมของนักเรียน ที่ ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
เนื้อหาของกฎกระทรวงที่ถูกเพิกถอน
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ซึ่งออกตามความใน ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ได้กำหนดว่า การแต่งกายและความประพฤติต่อไปนี้ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
– นักเรียนชาย ห้ามดัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผม ห้ามไว้หนวดเครา
– นักเรียนหญิง ห้ามดัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากได้รับอนุญาตให้ไว้ผมยาว ต้องรวบให้เรียบร้อย
– นักเรียนทุกคน ห้ามใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย
กฎกระทรวงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิด และคุณธรรม พร้อมที่จะรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่และเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติในอนาคต
โดยเนื้อหาของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ระบุว่า นักเรียนและนักศึกษาควรได้รับการอบรมดูแลอย่างใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
- มาตรา 22 วรรคหนึ่ง ระบุว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ
- มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1) ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
- กฎกระทรวง พ.ศ. 2549 กำหนดแนวทางการพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือเป็น การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) เป็นการกำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอาง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีและอยู่ในระเบียบวินัยของสังคม แต่มิได้คำนึงถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กอายุ 6-7 ปี จนถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปี
กรณีนี้จึงไม่อาจถือได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวเป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังเป็นข้อบังคับที่เคร่งครัดเกินไป จนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย
ดังนั้นกฎกระทรวงดังกล่าวจึงถือเป็นกฎที่ถูกยกเลิกโดยมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดต่อหลักการของกฎหมาย
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวขัดต่อมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล ต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ
กฎกระทรวงฉบับนี้มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว แต่ โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
- ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก
- ต้องคำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ของเด็กในแต่ละช่วงวัย
- ต้องไม่เป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของนักเรียนเกินสมควรแก่เหตุ
- ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายคุ้มครองเด็ก