ท่ามกลางวิกฤตโควิดที่ลุกลามมาตั้งเเต่ปีที่แล้ว หลายอุตสาหกรรมยื้อเวลาไปต่อไม่ไหว ประกาศตัวยอมเป็นผู้เเพ้ สวนทางกับ ‘วงการสตรีมมิง’ ที่เห็นทีจะครองตำเเหน่งผู้ชนะในเกมใหญ่ครั้งนี้ ผลจากการช่วงชิงเวลาที่ผู้คนอยู่บ้านหลักร้อยล้านคน ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่หลายรายทยอยเข้ามาเสริมทัพ ต่างฝ่ายต่างเเข่งขันกันยื้อแย่งความสนใจจากคนดูให้ได้มากที่สุด
แต่ทว่าการแข่งขันในเกมนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีจุดสิ้นสุดว่าใครเป็นผู้ชนะ เพราะยังมีอีกหลายเจ้าไม่ยอมออกมาเปิดเผยข้อมูล ทั้งยอดรวมจำนวนผู้ชมแบบสมาชิก (Subscriber) และตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ 1 คน (Average Revenue Per User: ARPU) อย่างชัดเจน ที่จะเป็นตัววัดความสำเร็จที่เเท้จริง
อีกทั้งทางข้างหน้ายังต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ เมื่อฝั่งสหรัฐอเมริกาการเเพร่ระบาดเริ่มทุเลาลงแแล้ว ผู้คนไม่ได้ติดอยู่กับบ้าน หลายสำนักจึงให้ความเห็นกันว่าวงการนี้จะไม่หวือหวาเหมือนช่วงก่อน ซึ่งนี่ถือเป็นจุดชี้ชะตาของ ‘ศึกสงครามสตรีมมิง’ อีกครั้ง ว่าสุดท้ายใครกันจะเป็นผู้กุมชัยชนะตัวจริง
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดหนักๆ ในปี 2020 Netflix, Disney+, Amazon Prime และ Apple TV+ ต่างมียอดผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นหลักล้านคน ค่ายยักษ์ใหญ่รายอื่นมองเห็นอนาคตที่สดใสของวงการนี้ต่างพากันปรับตัวหันมาปล่อยของผ่านบริการสตรีมมิงของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Comcast สังกัด NBCUniversal, ViacomCBS, AT&T แห่งค่าย WarnerMedia รวมถึงช่อง Discovery
หากมองลึกลงไปเเล้ว การแข่งขันดึงความสนใจของผู้ชมนั้นต้นทุนของมันก็คือ ‘เวลา’ ของคน จากข้อมูลสำรวจ Conviva ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2020 คนอเมริกันใช้เวลาไปกับการรับชมสตรีมมิงเพิ่มขึ้นถึง 44% จากเวลาที่พวกเขาเคยใช้ในปีก่อนหน้า ซึ่งการที่ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันปกติอีกครั้งกลายเป็นว่าเวลาในการอยู่บ้านนั้นจะลดลง จึงเป็นสัญญาณเตือนการปรับตัวครั้งสำคัญอีกครั้งของวงการสตรีมมิง
สงครามสตรีมมิงครั้งนี้ท้าดวลกันด้วยตัวเลขเติบโตของจำนวน Subscriber และรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ 1 คน (ARPU) ที่ว่าเจ้าไหนมีตัวเลขทั้งสองอย่างเยอะที่สุดก็ถือว่าเป็นผู้ชนะและได้รับคะเเนนนิยมจากหมู่นักลงทุนไปตามลำดับ ความท้าทายคือตัวเลขเหล่านี้จะถูกวัดกันในช่วงที่ผู้คน ‘ไม่ได้ติดอยู่กับบ้าน’ อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การตัดสินว่าใครจะเป็น ‘ผู้เเพ้’ หรือ ‘ผู้ชนะ’ ในศึกครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนอย่างเคย หลังจากที่มีบางบริษัทไม่ยอมออกมาเปิดเผยตัวเลขเหล่านั้น ทั้งนี้ ความโปร่งใสด้านตัวเลขผู้ใช้งานนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญไม่เเพ้ผลประกอบการรวม ที่จะเป็นตัวกำหนดดวงชะตาของธุรกิจว่าจะรอดหรือจะร่วง ซึ่งการที่บางบริษัทเลือกแสดงท่าทีคลุมเครือเช่นนี้อาจมีนัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของบริษัทก็เป็นได้
CNBC ได้รวบรวมโฉมหน้าข้อมูลจำนวนผู้ใช้งานและ ARPU (อ้างอิงจากรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด) ของผู้เล่นบางส่วนของตลาดสตรีมมิง มีดังนี้
เริ่มกันที่ Netflix เจ้าตลาดสตรีมมิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความโปร่งใส ออกมาเปิดเผยว่า ยอดผู้ใช้งานทั่วโลกมีกว่า 208 ล้านคนทั่วโลก และ ARPU ในสหรัฐอเมริกาและเเคนาดาอยู่ที่ 14.25 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 458 บาท) ทั้งนี้ Netflix เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีโฆษณา จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องปกปิดตัวเลขทางการเงินอันเกี่ยวข้องในเชิงพาณิชย์
ถัดมาเป็นอาณาจักรสื่อยักษ์ของโลก Disney+ (รวมบริการ Hotstar) ที่เปิดตัวสตรีมมิงมาตั้งแต่ปี 2015 แต่เพิ่งขยายมาในบ้านเราเมื่อเดือนที่เเล้ว มียอดผู้ใช้งานกว่า 103.6 ล้านคนทั่วโลก และทำ ARPU ทั่วโลก อยู่ที่ 3.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 128 บาท)
สำหรับเรื่องความโปร่งใสด้านตัวเลขของ Disney+ ยังคงเป็นรอง Netflix ถึงแม้ว่าจะได้เปรียบเรื่องราคาที่ถูกกว่าและโตเร็วกว่าในกลุ่มลูกค้าของ Disney+ แต่บริษัทก็ไม่ได้เปิดเผยผลประกอบการในระดับของภูมิภาค โดยตามรายงานเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ระบุว่า การเติบโตของ Disney+ ค่อนข้างซบเซาในแถบสหรัฐอเมริกาและเเคนาดา
ผู้เล่นที่มาแรงอีกเจ้าคือ HBO และ HBO Max ของค่าย WarnerMedia มียอดผู้ใช้งาน 63.9 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นชาวอเมริกันกว่า 44.2 ล้านคน ARPU อยู่ที่ 11.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ราว 377 บาท) อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ใช้งานยังคงมีความทับซ้อนกันใน HBO และ HBO Max ทาง WarnerMedia จึงเลือกเปิดเผยตัวเลข ARPU ที่ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งมาเป็นตัวชูโรงดึงดูดนักลงทุนเเทน
คู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพสูงอีกรายคือ Discovery บริษัทสื่อที่โดดเด่นเรื่องการทำสารคดี ให้ข้อมูลว่ามียอดผู้ใช้งานจำนวน 15 ล้านคน ในทุกช่องบริการ โดยกว่า 13 ล้านคน คือผู้ใช้งาน Discovery+ และ ARPU อยู่ที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ราว 225 บาท)
อย่างไรก็ดี ไม่นานมานี้ Discovery ได้ประกาศควบรวมกิจการกับบริษัท WarnerMedia โดย เดวิด ซาสลาฟ ซีอีโอของ Discovery บอกเป็นนัยว่า ไม่เห็นทางรอดของบริษัทในวงการสตรีมมิงเท่าไรนักหากจะต้องสู้ศึกคนเดียว โดยคาดว่าดีลครั้งนี้จะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2022
ส่วนตัวเต็งในวงการสตรีมมิงอีกคนคือ Amazon Prime Video ที่ให้บริการสตรีมมิงตั้งเเต่ปี 2006 ล่าสุดเปิดเผยว่า Prime มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก โดย 175 ล้านคน ใช้บริการสตรีมมิงเมื่อปีที่เเล้ว
ทั้งนี้ Amazon ไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ใช้สตรีมมิงและ ARPU อย่างชัดเจน เนื่องจากผู้สมัครสมาชิก Prime มีความทับซ้อนกับบริการอื่นๆ ของบริษัทด้วย เช่น สมัครเพื่อใช้บริการส่งพัสดุของ Amazon ฟรี ใช้เป็นส่วนลดร้านค้าต่างๆ และเข้าถึงบริการอื่นๆ ของ Amazon
อีกรายที่ไม่พูดถึงไปไม่ได้เลยคือ Apple ที่ขึ้นเเท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกปี 2021 ทว่าในเรื่องความโปร่งใสของตัวเลขผลประกอบการฝั่งสตรีมมิงถือว่าอยู่รั้งท้ายเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าตัวเเทบไม่เปิดเผยตัวเลขอะไรเลยของ Apple TV+ ที่ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ปลายปี 2019
ดูเหมือนว่าธุรกิจนี้ของ Apple จะยังคงไม่เข้าที่เข้าทาง หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Apple คงออกมาเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ตอนที่บริษัทเริ่มทำเงินจากรายได้ที่เข้ามาต่อเนื่อง (Recurring Revenue)
พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น
อ้างอิง: