การลงทุนกับหุ้นโดยทั่วไปแล้วก็มักจะมีทางเลือกอยู่ 2 แบบคือ แบบที่ 1 การลงทุนแบบเชิงรับ หรือ Passive Management ซึ่งนั่นก็คือ ลงทุนโดยให้น้ำหนักของหุ้นตาม Index เช่น ลงทุนใน SET50 ก็จะเท่ากับว่าเราซื้อหุ้นมาทั้ง 50 ตัว และให้น้ำหนักเหมือนกับ SET50 Index หรือแบบที่ 2 การลงทุนแบบเชิงรุก หรือ Active Management การลงทุนแบบนี้ เราจะมีการเลือกหุ้น หรือที่เรียกว่า Stock Selection เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด
ความยากง่ายในการทำ Stock Selection เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดนั้น ดูเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าสถิติของสภาวะของตลาดในแต่ละช่วงเวลา นั่นหมายความว่า หากสภาวะของตลาดไม่เอื้ออำนวย แต่นักลงทุนพยายามเลือกหุ้นให้ถูกตัวก็อาจจะทำได้ยากมาก หรืออย่างแย่ที่สุดการเลือกหุ้นนั้นก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่พอร์ตลงทุนเลยก็เป็นได้ เปรียบความยากของตลาดเหมือนเตาถ่านที่แดงร้อน และเราพยายามล้วงมือลงไปเพื่อควานหาเพชรในช่วงเวลานั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราจะได้เพชรก่อนหรือมือจะพองบวมก่อนก็เป็นได้ แต่หากตลาดอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม การจะเลือกหุ้นลงทุนอะไรก็มักจะพบว่าดูจะเลือกหุ้นถูกตัวไปซะหมด ซึ่งความยากง่ายในการเลือกหุ้นแบบนี้จะมีตัววัดหนึ่งที่นิยมใช้กัน ซึ่งจะเรียกว่าค่า Dispersion หรือที่รู้จักกันว่า การกระจายตัว
ปัจจัยหนึ่งที่ใช้วิเคราะห์ว่า ณ ช่วงเวลาใดเป็นโอกาสที่ดีในการทำ Stock Selection คือปัจจัยการกระจายตัวของผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในช่วงเวลานั้นๆ หรือที่เรียกว่า Dispersion ซึ่งการคำนวณค่า Dispersion ทำได้ไม่ยาก โดยคำนวณส่วนเบี่ยงมาตรฐาน (Standard Deviation) ของผลตอบแทนของหุ้นทุกตัวในช่วงเวลานั้น เช่น นำผลตอบแทนในเดือนกุมภาพันธ์ของหุ้นใน SET100 ทุกตัวมาคำนวณหา Standard Deviation
จากภาพกราฟ Figure 1 นี้ จะสามารถเห็นจุดที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นใน SET100 ในแต่ละเดือน (Monthly Return) และการกระจายตัวของผลตอบแทนของหุ้นใน SET100 ในเดือนนั้นๆ (Dispersion) โดยตั้งแต่ปี 2019-2023 จะเห็นได้ว่าเมื่อ Dispersion เพิ่มขึ้น ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นใน SET100 ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่เพิ่มโอกาสในการทำ Stock Selection ได้ นอกจากนี้ จากข้อมูลกราฟแท่งใน Figure 1 จะเห็นว่าตั้งแต่ประมาณไตรมาสที่ 1 ปี 2022 จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 (สามเหลี่ยมสีแดง) Dispersion ของหุ้นใน SET100 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น นั่นแสดงถึงสัญญาณที่ดีในการทำ Stock Selection นั่นเอง
ทำนองเดียวกัน ในภาพของ Figure 2 เมื่อเราวิเคราะห์หุ้นขนาดเล็กที่อยู่ใน sSET Index เราก็จะเห็นภาพคล้ายกันคือ เมื่อ Dispersion เพิ่มขึ้น ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นใน sSET ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นด้วย และตั้งแต่ช่วงประมาณไตรมาสที่ 1 ปี 2022 จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 Dispersion หุ้นใน sSET มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
สำหรับภาพใน Figure 3 เราจะเห็นได้ว่าในปี 2022 ผลตอบแทนของหุ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry) ใน SET100 มีการกระจายตัวที่ค่อนข้างกว้าง ตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่ม Banking ที่ผลตอบแทนของหุ้นอยู่ระหว่างประมาณ -15% ถึง 35% หรือหุ้นในกลุ่ม Energy ที่อยู่ระหว่าง -20% ถึง 70% ซึ่งผลตอบแทนที่มีการกระจายตัวที่กว้างเป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทำ Stock Selection
และเมื่อมองถึงปี 2023 ในภาพ Figure 4 นี้ ที่แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมาเพียง 2 เดือน ผลตอบแทนของหุ้นในหลายๆ Industry มีการกระจายตัวที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ในกลุ่มของ Electronic หรือ Financial ซึ่งเราอาจจะมองได้ว่าปี 2023 นี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทำ Stock Selection นั่นเอง และอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยบ่งชี้ว่า ในปี 2023 การลงทุนแบบ Active Management มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Passive Management
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัดมาให้ 9 หุ้น SETHD ปันผลเกิน 3.50% ต่อเนื่องติดกัน
- 8 อันดับหุ้นกลุ่มน้ำมันสุดแกร่ง ผลตอบแทนราคา YTD ปี 65 ยังบวก
- หุ้น AURA พุ่งแรง! เข้าเทรดใน SET วันแรกด้วยราคาเปิดที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 27.52% จากราคา IPO