เกิดความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท สืบเนื่องจากกระแสความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยจากแรงกดดันของข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนและเยอรมนี บวกกับปัจจัยลบของสงครามการค้า วิกฤตการเมืองในฮ่องกง และความไม่แน่นอนในกระบวนการ Brexit ซึ่งทำให้นักลงทุนแห่เทขายหุ้นจนฉุด 3 ดัชนีหลักดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ร่วงลงถึง 800 จุด
มีสัญญาณเตือนเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ หลังเยอรมนีและจีนเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีหดตัวลงในไตรมาส 2 ขณะที่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเติบโตช้าสุดในรอบ 17 ปีในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกกรณีที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วิจารณ์นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (Fed) และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อต่อ ส่งผลให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยกันมากขึ้น เช่น ทองคำ และพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ
ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีร่วงลงถึง 2.03% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ช่วงหนึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลงต่ำกว่าพันธบัตรอายุ 2 ปี โดยความเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ในตลาดพันธบัตรถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มภาวะชะลอตัวทางศรษฐกิจ
แรงเทขายหุ้นเมื่อวานนี้ฉุดดัชนี Dow Jones ร่วงลง 800.49 จุด หรือ 3.05% ปิดที่ 25,479.42 จุด ซึ่งเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์การปรับตัวลงมากที่สุดในรอบปี 2019 ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 85.72 จุด หรือ 2.93% ปิดที่ 2,840.6 จุด ส่วนดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 3.02% ปิดที่ระดับ 7,773.94 จุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: