ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ และเริ่มเห็นโฉมหน้า ครม. เศรษฐกิจ พร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะตามมา โดยเฉพาะโครงการ ‘คนละครึ่ง’ จะมาช่วยดัน SET Index ไปได้ไกลแค่ไหน
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) สัมภาษณ์รายการ Morning Wealth ในมุมมองของ InnovestX มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้อาจมีปริมาณเงินไม่มากนักสำหรับเงินที่จะใช้ดำเนินโครงการคนละครึ่ง และรัฐบาลชุดนี้มีอายุการทำงานสั้นเพียง 4-6 เดือน ซึ่งน่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้างเป็นเรื่องยาก นโยบายที่คาดว่าจะออกมาจึงคล้ายคลึงกับรัฐบาลชุดก่อนๆ คือเน้นการใช้งบประมาณไม่มาก แต่ส่งผลในวงกว้าง ทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นมาตรการระยะสั้น
โดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะประกาศออกมาเร็วที่สุดและมีผลต่อตลาดหุ้น ได้แก่
1. โครงการ ‘คนละครึ่ง’ มีโอกาสที่จะมีมากกว่าหนึ่งเฟส
2. มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศ เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันและภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
3. โครงการ ‘ช้อปดีมีคืน’ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่
ทั้งนี้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ InnovestX ประเมินว่า หากมีวงเงินประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.13% ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนี SET Index ปรับเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10 จุด
อย่างไรก็ตาม หากมีมาตรการเพิ่มเติมในวงเงินที่ใกล้เคียงกัน ก็อาจดัน GDP เพิ่มขึ้นเป็น 0.2% และ SET Index เพิ่มขึ้น 20 จุดได้
ชี้ความเชื่อมั่นและการเมือง ปัจจัยหนุนสำคัญตลาดหุ้น
สิทธิชัย กล่าวต่อว่า ก่อนที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้ ความเชื่อมั่นต้องดีขึ้นก่อน ในอดีตที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมักจะซบเซาในช่วงที่มีปัญหาการเมือง แต่คาดว่าปัญหาการเมืองในครั้งนี้อาจจะไม่รุนแรงเท่าอดีต
นอกจากนี้ ในเชิงของ Valuation ก่อนหน้าที่จะมีปัญหาการเมือง ตลาดหุ้นไทยเคยซื้อขายที่ระดับ P/E ประมาณ 14 เท่า แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 13.3 เท่า การปิดแกปส่วนต่างนี้อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีอัพไซด์เพิ่มขึ้นอีก 35 จุด จากประเด็นการเมืองที่ชัดเจนขึ้น
ส่องโฉมหน้า ครม. เศรษฐกิจใหม่ นโยบาย 4 เดือน 4 ด้าน
การเข้ามาของรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ เช่น ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ว่าที่รัฐมนตรีพาณิชย์, ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. ว่าที่รัฐมนตรีพลังงาน
โดย InnovestX มองว่านโยบายหลักจะเน้นไปที่ ‘4 เดือน 4 ด้าน’ ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย ลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน และค่าเดินทาง ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน
2. กรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา คาดว่าจะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจนขึ้นในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะผลกระทบต่อจังหวัดบุรีรัมย์
3. การเจรจาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แม้จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีพาณิชย์เพียงฝ่ายเดียว แต่การลดภาษีและการเยือนอาเซียนของประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤกษิกายน อาจนำมาซึ่งความชัดเจน
4. ปัญหาชายแดน การคลี่คลายปัญหาชายแดน
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดถัดไป
ประเมินทิศทางการลงทุนและเป้าหมาย SET Index ปลายปีนี้
InnovestX ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ
Valuation ที่น่าสนใจ
- ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ช่วยลดแรงขาย
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้ามา
- ความชัดเจนทางการเมือง และการคลี่คลายปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชา
- แนวโน้มการลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี
- บรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐฯ และจีนที่ปัจจัยกดดันเริ่มลดลง
ขณะที่ InnovestX ประเมินกรอบการลงทุนไปจนถึงปี 2569 โดยมีโอกาสที่ SET Index จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 1,350 – 1,400 จุด หลังจากประเมินว่าตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
เปิดลิสต์กลุ่มหุ้นที่น่าจับตารับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับนักลงทุน InnovestX แนะนำกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
- กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, GLOBAL แต่ CPALL ปรับตัวขึ้นมาแล้ว รวมถึง BJC
- กลุ่มท่องเที่ยว คือ CENTEL
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จาก AMATA จากความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
- กลุ่มวัสดุก่อสร้างกับโครงสร้างพื้นฐาน คือ SCC
2. หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงและ/หรือค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
- กองทุน คือ DIF, LHFG
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คือ AP, SPALI
- กลุ่มเช่าซื้อ คือ MTC
- กลุ่มโรงไฟฟ้า คือ BCPG
3. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จากการเก็งกำไรจากหุ้นที่เคยได้ประโยชน์จาก ‘คนละครึ่ง’ ในอดีต ได้แก่ CBG, TNP, OSP, HTC, ICHI, TVO แต่หุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว