ตลาดหุ้นทั่วโลกเปิดทำการซื้อขายวันแรกในสัปดาห์ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้าเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,604.49 จุด ลดลง 25.09 จุด หรือ 1.54% จากวันก่อนหน้า ถือเป็นการลดลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในเอเชีย เช่น ฮ่องกง -3.8% ญี่ปุ่น -2.5% และไต้หวัน -2.1% ส่วนตลาดหุ้นใกล้เคียงกับไทยอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียร่วงลงไปกว่า -4% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งเปิดตลาดมาช่วงบ่าย ส่วนใหญ่ลดลงไปกว่า 1%
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสหลุด 1,600 จุดค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นมุมมองเดิมกับที่ประเมินไว้ว่าแนวรับของหุ้นไทยในรอบนี้อาจจะอยู่ในช่วง 1,580-1,600 จุด การปรับฐานของสินทรัพย์ต่างๆ ช่วงนี้ ทำให้เงินสดดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด แม้จะโดนกดดันจากเงินเฟ้อก็ตาม
“ปรากฏการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไถ่ถอนเงินลงทุนจากทุกๆ สินทรัพย์ (Capitulation) ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เป็นเพราะ Real Bond Yield ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ที่ติดลบมาโดยตลอด ทำให้เกิดแรงเทขายในทุกสินทรัพย์ยกเว้นเงินดอลลาร์
สกุลเงินอื่นๆ อ่อนค่าอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงเงินบาทที่อ่อนค่าทะลุ 34.5 บาท สะท้อนถึงกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลออก
“คำถามสำคัญต่อไปคือ โมเมนตัมเชิงลบนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไร จุดไหนจะทำให้เกิดการวกกลับ คีย์ไอเดียคือต้องหาจุดพีคของ Bond Yield สหรัฐฯ ถ้ายังหาไม่เจอก็จะเห็นโอกาสลดน้ำหนักของทุกสินทรัพย์ต่อไป แต่ถ้าจะเห็นจุดพีคจริงๆ เราอาจต้องแช่งให้เศรษฐกิจดูเหมือนจะถดถอยอีกครั้ง
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นปัจจุบัน ผู้กำหนดนโยบายคงจะดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป พร้อมกับเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุล แต่หากเริ่มมีสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย นโยบายจะเปลี่ยนแปลงไป ราคาหุ้นอาจจะลงเพื่อรับข่าว แต่จุดนั้นจะเป็นจุดที่ใกล้ระดับต่ำสุดแล้ว
“เศรษฐกิจอาจจะเกิดภาวะถดถอย (Recession) ได้จริงหลังจากนั้น แต่โดยปกติหุ้นจะเป็นตัวชี้นำ (Leading Indicator) และลงก่อนเศรษฐกิจเสมอ”
ในเชิงกลยุทธ์ ก่อนหน้านี้เราแนะนำ Wait and See มาต่อเนื่อง ก่อนจะให้เริ่มทยอยซื้อได้บ้างที่บริเวณ 1,630 จุด แต่เป็นเพียงส่วนน้อยของพอร์ต หากดัชนีลงต่อถึงระดับ 1,580 จุด น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้บ้าง แต่สำหรับคนที่ยังมีหุ้นในพอร์ตค่อนข้างมาก ควรจะลดพอร์ตในบริเวณ 1,640-1,650 จุด หากเกิดเศรษฐกิจถดถอยจริง ดัชนี SET น่าจะลงไปถึงระดับ 1,500-1,530 จุด
