×

อัปเดตทิศทางหุ้น ‘กลุ่มประกัน’ ในภาวะดอกเบี้ยและเงินเฟ้อขาขึ้น ขณะที่โควิด-19 ก็ยังไม่ผ่านไป

19.05.2021
  • LOADING...
อัปเดตทิศทางหุ้นกลุ่มประกัน

หุ้นประกันในปี 2564 เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าภาพรวมของตลาด (SET) อิงจากข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งดัชนี SET +8.10% ขณะที่ดัชนีกลุ่มประกัน (INSUR) +12.37% โดย 3 หุ้นหลักที่ปรับตัวขึ้นมากสุด ได้แก่ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (TVI) +66.25%, บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) +54.76% และ บมจ.บางกอกสหประกันภัย (BUI) +49.06%

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มประกันน่าจะยังดีต่อเนื่องสำหรับไตรมาส 2 และช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะประกันภัยซึ่งได้แรงหนุนจากประกันโควิด-19

 

สำหรับหุ้นประกันสามารถแยกออกได้เป็น 3 กลุ่มย่อยหลักๆ คือ ประกันภัย ประกันชีวิต และนายหน้าขายประกัน โดยส่วนตัวมองว่าหุ้นประกันภัยมีความโดดเด่นมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้จากผลประกอบการของ บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) ซึ่งรายงานกำไรไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 21% 

 

“หุ้นในกลุ่มประกันจะมีการเฉลี่ยรับรู้รายได้ของเบี้ยประกันที่มักจะจ่ายกันปีละครั้ง ทำให้กำไรที่เห็นว่าดีในไตรมาสนี้ ก็มีแนวโน้มจะดีต่อไปในไตรมาสที่เหลือด้วย ทั้งนี้หลายคนอาจจะกังวลว่าผู้ซื้อประกันจะเคลมความเสียหายมากขึ้นหรือไม่ สำหรับกรณีของโควิด-19 จริงๆ แล้วรัฐบาลเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ได้ตกกับบริษัทประกัน 100%” 

 

สำหรับประกันชีวิตมีแนวโน้มที่จะได้แรงหนุนจากบอนด์ยีลด์ขาขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนของประกันจะสูงขึ้นตามในอนาคต ส่วนนายหน้าขายประกัน โดยส่วนตัวมองว่าผู้ซื้อประกันในระยะหลังเริ่มหันมาซื้อกับบริษัทประกันโดยตรงมากขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทนายหน้าอาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับที่ผ่านมาในอดีต 

 

“เชื่อว่าหุ้นประกันยังมีโอกาสจะโดดเด่นกว่าภาพรวมตลาดต่อไปในปีนี้ หากดูจากอัปไซด์ของดัชนี SET ซึ่งอยู่ที่ราว 7% ในขณะนี้ทำให้หุ้นประกัน โดยเฉพาะประกันภัย อาทิ TIP ยังมีอัปไซด์ที่เปิดกว้างกว่า”

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มประกัน อาจมองเป็น 2 มุมคือ 1. การเล่นเก็งกำไรตามรอบ จากปัจจัยหนุนในแต่ละช่วง เช่น โควิด-19 เป็นต้น 2. การซื้อเพื่อรับเงินปันผลในระยะยาว ซึ่งหุ้นประกันมักจะจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และบางตัวอาจให้ผลตอบแทนในระดับ 5% 

 

ด้าน กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย มองหุ้นในกลุ่มประกันชีวิต โดยมีปัจจัยหลัก 2 ส่วนที่เข้ามากระทบ 

 

ปัจจัยแรกคือ การฟื้นตัวของบอนด์ยีลด์ระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลไทย ทำให้ผลตอบแทนของบอนด์ระยะยาวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อธุรกิจประกันชีวิต เพราะเงินจากเบี้ยประกันที่รับเข้ามา สัดส่วน 80-90% จะถูกนำไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนจะค่อยๆ ดีขึ้น 

 

“สิ่งที่ตามมาหลังจากบอนด์ยีลด์ปรับขึ้นคือ เงินเฟ้อ ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อด้วย เพราะโดยปกติแล้วประกันชีวิตจะกำหนดผลตอบแทนในอนาคตเป็นตัวเลขตายตัวให้กับผู้ซื้อประกัน ซึ่งหากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าของเงินในอนาคตก็จะลดลง” 

 

ปัจจัยที่สองคือ การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรง แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เชื่อว่าการแข่งขันจะเบาลง เพราะที่ผ่านมาบริษัทเริ่มปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่เน้นให้จ่ายเบี้ยประกันครั้งเดียวและทยอยคืนผลตอบแทน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ให้อัตรากำไรต่ำ 

 

“เมื่อดอกเบี้ยต่ำมาก ประกันจึงไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้เท่าเดิม ทำให้บริษัทเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์ โดยเน้นประกันที่ให้ผลตอบแทนอิงกับผลงานของกองทุนมากขึ้น หรืออาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่กำหนดผลตอบแทนตายตัวแค่บางส่วน”

 

อย่างไรก็ตาม การเติบของเบี้ยประกันจะยังเป็นไปตามเศรษฐกิจ ซึ่งปีที่ผ่านมาเบี้ยประกันติดลบไป 10% ส่วนปีนี้น่าจะเริ่มทรงตัวได้ 

 

หากมองที่หุ้นอย่าง BLA เป็นหุ้นประกันชีวิตที่ค่อยๆ ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากการปรับผลิตภัณฑ์ตามตลาด รวมถึงการหาพันธมิตรเพิ่มขึ้น ขณะที่บอนด์ยีลด์ที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ ทำให้อัตราผลตอบแทนเริ่มทรงตัวได้ในปีหน้า หลังจากที่อัตราผลตอบแทนปีก่อนและปีนี้ลดลง 0.30% และ 0.10% ตามลำดับ 

 

ในมุมของราคาหุ้น แม้ว่าจะปรับขึ้นมาแล้วถึง 50% แต่ปัจจุบันอัตราส่วน P/BV ยังอยู่ที่เพียง 1 เท่า ซึ่งยังไม่แพงเมื่อดูจากในอดีต ทั้งนี้กำไรของ BLA ในปีนี้จะกลับไปเท่ากับปี 2560-2561 ซึ่งขณะนั้นหุ้น BLA ซื้อขายบน P/BV 1.3 เท่า ทำให้เราประเมินอัปไซด์ของ BLA อีกราว 30% โดยให้ราคาเป้าหมาย 39 บาท 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising