วันนี้ (4 มิถุนายน) รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนคดีฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่
โดยคดีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่ DSI สอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กรณี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าเป็นกิจการร่วมค้า ITD-CREC คู่สัญญาก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ร.ต.อ. วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดี DSI มีความเห็นเสนอพนักงานอัยการคดีพิเศษสั่งฟ้องบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด กับพวกรวม 5 ราย ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวฝ่าฝืนประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าว
นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวน DSI ยังพิจารณาขยายผลสืบสวนความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือกฎหมายฮั้วประมูล โดยตรวจสอบสัญญา 3 ฉบับในโครงการก่อสร้าง สตง. ประกอบด้วย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาการออกแบบ และสัญญาการควบคุมงาน เพื่อหาผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ ที่มีพฤติการณ์ได้มาซึ่งสัญญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และล่าสุด DSI ได้ส่งรายงานข้อมูลให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวน DSI เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการพิจารณาสำนวนคดีฮั้วประมูล โดยระบุว่า ภายหลังสอบสวนคดีนอมินีเสร็จสิ้น ได้ขยายผลตรวจสอบการได้มาซึ่งสัญญา 3 ฉบับ และพบพยานหลักฐานจำนวนมาก รวมถึงจากการสอบปากคำพยานกลุ่มบริษัทที่เคยเสนอราคา e-Bidding จนมีความชัดเจนว่า นอกจาก 6 รายในกิจการร่วมค้า PKW (ตามสัญญาการควบคุมงาน) แล้ว ยังมีผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เข้ามาเกี่ยวข้องในสัญญาฮั้วประมูล อธิบดี DSI จึงได้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษที่ 58/2568 และส่งข้อมูลให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน
สำหรับพฤติการณ์ความผิดของบุคคล 6 รายภายใต้กิจการร่วมค้า PKW ซึ่งรับหน้าที่ควบคุมงาน ตามสัญญาการควบคุมงานนั้น DSI พบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารลายเซ็นของวิศวกรเพื่อให้ได้งาน นอกจากนี้ พยานปากสำคัญภายในสำนักงาน สตง. ได้เข้ามาให้ข้อมูลกับ DSI โดยกล่าวโทษตามกฎหมายฮั้วประมูล มาตรา 11 ซึ่งระบุโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท ต่อ กฤตภัฏ (สงวนนามสกุล) เจ้าของกิจการร่วมค้า PKW ร่วมกับ อดีตผู้ว่าการ สตง. และประธาน สตง. ในการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง จนถึงการควบคุมงาน
DSI ยังชี้แจงพฤติกรรมการฮั้วประมูลว่า ผู้บริหารระดับสูงของ สตง. มีพฤติกรรมเป็นคนจัดฮั้วประมูลและล็อกสเปก โดยมีการเจาะจงเลือกบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด มาเขียนแบบ เพื่อเอื้อให้บริษัทจีน (กิจการร่วมค้า ITD-CREC) ได้ก่อสร้าง จากนั้นก็นำบริษัทควบคุมงาน (กิจการร่วมค้า PKW) ที่ไม่ได้มีการควบคุมงานจริง มาอ้างใช้ในการควบคุมงาน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการนำเงินของรัฐไปทำให้เกิดความเสียหาย
DSI ระบุว่า สำนวนการสอบสวนคดีฮั้วประมูลจะถูกส่งให้สำนักงาน ป.ป.ช. ภายในสัปดาห์หน้า โดยจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด เพื่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่าจะมอบหมายให้ DSI ดำเนินการบางส่วน หรือ ป.ป.ช. จะดำเนินการเองทั้งหมด โดยมีรายชื่อผู้บริหารของ สตง. ที่ปรากฏในสำนวนฮั้วประมูลและเตรียมส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนพร้อมกับ 6 ผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW ได้แก่:
- พล.อ. ชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
- ประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
- เลขานุการของ พล.อ. ชนะทัพ